![](http://p3.isanook.com/hi/0/ud/277/1389253/untitled-2.jpg)
เปิดตัว Galaxy S5 Active สมาร์ทโฟนเรือธงพันธุ์ถึกจากซัมซุง มีภาพหลุดออกมาอวดโฉมมาได้ไม่นาน ในวันนี้ซัมซุงก็ได้จัดการเปิดตัว Galaxy S5 Active สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นถึกและบึกบึนอย่างเป็นทางการแล้ว โดยในปีนี้ Galaxy S5 Active เรียกได้ว่าหยิบไส้ในของ Galaxy S5 มาใส่ไว้ทั้งดุ้น (ในปีก่อนลดหน้าจอ Super AMOLED เหลือเป็น TFT LCD) ทั้งหน้าจอ Super AMOLED ขนาด 5.1" ซีพียู Snapdragon 801 กล้องหลัง ISOCELL ความละเอียด 16 เมกะพิกเซล และมาตรฐานความป้องกันที่ระดับ IP67 กันน้ำได้ที่ความลึก 1 เมตร เป็นเวลา 30 นาที กันฝุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ ![]() สำหรับ Galaxy S5 Active ได้ตัดเอาปุ่มโฮมสแกนลายนิ้วมือออกไป แต่เพิ่มปุ่มด้านข้างมาอีกปุ่มสำหรับเปิดใช้งานฟีเจอร์ "Activity Zone" เพื่อแสดงแสดงข้อมูลจากบารอมิเตอร์และเข็มทิศที่ผูกเข้ากับการใช้ชีวิตประจำ วันด้วย และเช่นเคย Galaxy S5 Active จะวางขายกับเครือข่าย AT&T ของสหรัฐฯ แบบติดสัญญา 2 ปีที่ 199 เหรียญ และ 715 เหรียญ (ประมาณ 23,500 บาท) แบบไม่ติดสัญญา ตัวเครื่องมีอยู่สามสีคือ แดงทับทิม เขียวลายพรางทหาร และเทาไทเทเนียมครับ ที่มา - Android Authority
0 Comments
![]() OPPO R1 by Bluecosmos (@ibluecosmos) เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาเราได้เห็นสุดยอด Smartphone จาก OPPO กันไปแล้วกับ OPPO N1 ที่มีจุดขายเรื่องของกล้องที่หมุนได้ ซึ่งผมได้รีวิวไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย แต่สำหรับ OPPO แล้ว ไม่ได้หยุดเพียงแค่ N1 เท่านั้น เพราะถึงวันนี้ทาง OPPO ได้เปิดตัว OPPO R1 รุ่นใหม่เข้ามาเติมตลาดอีกรุ่น โดยรุ่นนี้ถือเป็นอีกรุ่นที่ไม่ได้ใช้ Series ว่า Find แต่มีจุดเด่นในการออกแบบเครื่องก็คือเรื่องของการใช้วัสดุนั่นเอง ![]() OPPO R1 เปิดตัวพร้อมการออกแบบเครื่องที่เป็นกระจกทั้งหน้าและหลัง เน้นการออกแบบเฉียบบาง เห็นแล้วผมนึกย้อนกลับไปถึง OPPO Finder ที่เปิดตัวเน้นความบางสุดๆเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว แต่สำหรับ R1 แล้วมันมาพร้อมความสดใหม่ ด้วย Spec เครื่องที่สูงกว่า และหากมองที่ Line-up ของ OPPO ในตอนนี้ต้องบอกว่า R1 มาเติมเต็มช่วงกลางของ OPPO ที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว สัมผัสเครื่อง OPPO R1![]() ![]() วัสดุตัวเครื่องหลักๆคือกระจก ซึ่งเป็นกระจก Gorilla Glass 3 ทั้งหน้าและหลังที่กันรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี แต่หากจะบอกว่าไม่มีวันเป้นรอยเลยคงไม่ใช่ ก็คงต้องมีการติดฟิลม์ดูลและรักษากันไป ขอบข้างเครื่องเป็นอลูมิเนียมผิวด้านจับไม่ลื่นมือ โดยภาพรวมของวัสดุทั้งหมดทำให้ตัวเครื่องออกมาสวย แต่อีกนัยนึงก็คือความบอบบาง ทั้งส่วนของกระจกหรืออลูมิเนียมเอง เป็นรอยหนักๆได้ง่ายทั้งคู่ ![]() ![]() ด้านหน้าตัวเครื่องไม่มีตราของแบรนด์ตามรูปแบบของ OPPO สำหรับสีดำที่ผมได้มาต้องบอกว่าด้านหน้าเป็นสีดำเรียบเกือบทั้งแผง มีผิดแปลกไปก็คือส่วนของลำโพงสนทนาที่เป็นสีเงินตัดกับสีดำทั้งแผง ถัดไปข้างๆมีกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ส่วนมุมขวาบนมีไฟ Notification ดวงที่ 1 ซึ่งเป็นสีขาวสีเดียวเท่านั้น ตัดกับหน้าแผงสีดำดูแล้วสังเกตได้ง่าย สำหรับปุ่มควมคุมด้านล่างเป็นปุ่มสัมผัสทั้งหมด ตัวปุ่มเป็นแบบเรืองแสงเมื่อสัมผัส ซึ่งจากที่ทดสอบพบว่าตัวปุ่มสัมผัสได้ง่ายตอบสนองได้รวดเร็วดีครับ ![]() ![]() ![]() ![]() รอบๆตัวเครื่องมาพร้อมกับปุ่มมาตรฐานทั่วๆไป มีการจัดเรียงปุ่มปรับเสียงไว้ด้านขวาและปุ่ม Power ไว้ด้านซ้าย ตรงข้ามกับของ Samsung วางตำแหน่งได้พอดีมือจับ แต่เนื่องจากปุ่มมันค่อนข้างแบน ทำให้ต้องออกแรงกดเยอะหน่อย แต่ก็กดได้ไม่ยากเท่าไรนัก ![]() ![]() ด้านล่างของเครื่องมาพร้อมกับลำโพง Speaker ที่ถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่อง ถัดไปด้วยช่องเชื่อมต่อ microUSB และไมค์รับเสียงสนทนา ส่วนด้านบนตัวเครื่องมีช่องเชื่อมต่อหูฟัง 3.5 มม. พร้อมด้วยไมค์ตัดเสียงรบกวนรอบข้างอีก 1 ตัว ![]() ![]() ด้านหลังเป็นกระจกเรียบ ฝาหลังแกะออกไม่ได้ มีกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซลพร้อม LED Flash ลักษณะเรียบไปกับตัวเครื่อง ตัวเลนส์ไม่ได้นูนออกมาจากฝาหลัง ถัดไปข้างๆมีไฟ Notification ดวงที่ 2 คือมีทั้งด้านหน้าตัวเครื่องและด้านหลังเลย ทำให้เวลาวางเครื่องไม่ว่าจะท่าไหนก็เห็นไฟแจ้งเตือนหมด แต่น่าเสียดายที่มีไฟแค่สีเดียว แหล่งที่มา: www.mxphone.net OPPO Find 7a จะมีอะไรพิเศษบ้างนะลองมาดูกันเลย... ![]() ![]() เริ่มจากการออกแบบที่ OPPO ได้ยึดมั่นในการออกแบบผลิตภัณฑ์จากความงามของธรรมชาติเราจึงเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อหาแรงบันดาลใจในการสร้างผลิตภัณฑ์สุดพิเศษเครื่องนี้ และเราก็ได้พบแนวคิดจากท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีดวงดาวมากมายประทับอยู่บนท้องฟ้าตัดเครื่องของ Find 7a ก็ได้แรงบรรดาลใจนี้มาจึงมีลักษณะตัวเครื่องโค้งมนมีตัดด้วยกระจกสีดำ ถัดลงมาเป็นปุ่มควบคุม 3 ปุ่มที่เรายังคงไว้เพื่อเป็นเอกลักษณ์ของแบนด์ ด้านล่างตัดขอบมนให้มีลักษณะคล้ายจันทร์เสี้ยวพร้อม Skyline Notification ไฟแจ้งเตือนรูปวงเสี้ยวจันทร์สีน้ำเงินที่จะเพิ่มความหรูหราเมื่อคุณได้สัมผัส ![]() เติมเต็มมุมมองด้วยหน้าจอสุดคมชัด สำหรับวัสดุที่ใช้สร้าง OPPO Find 7 เราก็เลือกสรรค์เป็นอย่างดีเริ่มจากหน้าจอ Gorilla Glass 3 ขนาด 5.5 นิ้วพร้อมเทคโนโลยี TOL (Touch On Lens) หน้าจอกระจกที่บางลงเคลืบด้วยฟิมล์ ITO (Indium Tin Oxide) วางอยู่ที่บนผิวกระจก ทำให้จอบางและเบาลงแต่ยังคงความแข็งแรงเอาไว้และยังใช้งานได้แม้มือจะเปียกน้ำหรือใส่ถุงมืออยู่ก็ตาม นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี Touch IC Chip จาก JDI ผู้ผลิตหน้าจออันดับหนึ่งของโลกช่วยเพิ่มความไวต่อการสัมผัส และระบบ Display Aesthetics 2.0 ให้สีที่สดคมชัดสมจริง ![]() เพิ่มความสะดวกสบายในการเชื่อมต่อ เราต้องการสร้างสมาร์ทโฟนที่สามารถเชื่อมต่อทุกสิ่งเพื่ออำนวยความสะดวกสบายของผู้บริโภคฉะนั้นใน OPPO Find 7a จึงออกแบบให้รองรับการเชื่อมต่ออย่างสมบรูณ์แบบไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครือข่ายที่ Find 7a เชื่อมต่อได้ทั้ง Wi-Fi 3G หรือแม้แต่ อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง 4G LTE นอกจากนั้นในเครื่องก็ยังรอบรับระบบถ่ายโอนไฟล์อย่าง Bluetooth NFC หรือกระทั้ง OTG ช่วยให้ Find 7a สามารถรองรับการเชื่อมต่อหลากหลายทั้งการถ่ายโอนไฟล์หรือเชื่อต่อกับอุปกรณ์ไร้สายต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย หรือแม้แต่ภายในเครื่องที่สามารถถอดแบตเตอรี่และเพิ่ม MicroSDสูงสุดถึง 128GB เพิ่มความสะดวกสบายในการเก็บไฟล์มากยิ่งขึ้น ![]() การประมวลผลที่แรงเหนือระดับ ด้วยหน่วยประมวลผลง Qualcomm Snapdragon 801 Quad Core (MSM8974AB) ความเร็ว 2.3 Ghzพร้อม GPU Adreno330 และ RAM 2GB จัดว่าเป็นหน่วยประมวลผลระดับต้นๆ ของสมาร์ทโฟนทำให้คุณสามารถวางใจได้ว่าไม่ว่าจะแอพพลิเคชั่นไหน OPPO Find 7a ก็สามารถตอบสนองได้อย่างลื่นไหลไม่ติดขัด ![]() ![]() ระบบชาร์จที่เร็วกว่า OPPO ได้พัฒนาหนึ่งในเทคโนโลยีการชาร์จที่จะปฏิวัติการชาร์จในแบบเดิมๆ ในชื่อ VOOC ที่จะเพิ่มความเร็วในการชาร์จแบตเตอรี่ของคุณในระยะเวลาสั้นๆ โดยการชาร์ตโทรศัพท์แต่ละครั้งจะขึ้นอยู่กับขนาดของที่ชาร์จถ้าที่ชาร์จใหญ่ก็สามารถชาร์จไฟได้ไวมากขึ้น อย่างไรก็ที่ที่ชาร์จไฟทั่วๆ ไปไม่สามารถแก้ปัญหาความร้อนที่เกิดขึ้นระหว่างการชาร์จได้ ด้วยเหตุนี้เราจึงสร้างระบบชาร์จไฟแบบ VOOC เพื่อแก้ปัญหานี้ ซึ่งในในอะแดปเตอร์จะมีสมาร์ทชิพ MUC ที่จะช่วยประมวลผลขั้นตอนการชาร์จไฟในกระบวนการทำให้ชาร์จไฟเร็วขึ้น พร้อมกันนี้ใน VOOC ยังมีชนวนชนิดพิเศษช่วยป้องกันความร้อนระหว่างชาร์จไฟได้ ![]() สุดยอดระบบเสียง ระบบเสียง OPPO Find 7 ใช้ระบบ MaxxAudioเทคโนโลยีที่ผ่านการการันตรีจากเวทีระดับโลกอย่าง GRAMMY Award ช่วยปรับปรุงคุณภาพเสียงให้นุ่มลึก เนียนยิ่งขึ้น กล้องถ่ายรูปชั้นเยี่ยมที่ช่วยเปิดจินตนาการการสรรค์สรรค์ภาพถ่ายของคุณให้หลากหลายพร้อมมีโหมดการใช้งานให้คุณเลือกสรรมากมาย อาทิ เช่น ![]() Ultra-HD Picture ฟังก์ชั่นที่สามารถสร้างภาพความละเอียดสูงถึง 50 ล้านพิกเซลด้วยการนำภาพที่ถ่ายหลายๆ ช็อตมารวมกันเป็นภาพเดียว เมื่อใช้วิธีการนี้แล้วไม่ว่าเราจะทำการซูมบริเวณใดของภาพก็ตามภาพก็ยังคงความละเอียด ชัดเจนเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมหรือกล่าวคือคุณสามารถปริ้นภาพ 10 ตารางเมตรได้โดยที่ภาพของคุณไม่สูญเสียละเอียดของภาพได้เลย ![]() PI Engine 2.0 PI Engine 2.0 เป็นซอฟด์แวร์ในเครื่องที่จะช่วยประมวลผลภาพของคุณไห้ออกมาอย่างยอดเยี่ยมไม่ว่าจะถ่ายภาพในสถานะการไหนๆ เช่น ไม่ว่าจะถ่ายภาพกลางคืน แสงน้อย หรือย้อนแสง ก็สามารถประมวลภาพได้อย่างสวยงามชัดเจน ![]() Tracing Focus เมื่อคุณเลือกล็อคโฟกัสแล้วโฟกัสจะเลื่อนตามวัตถุไปไม่ว่ามันจะเคลื่อนไหวไปที่ไหนก็ตาม ฟังก์ชั่นนี้จะช่วยให้คุณถ่ามภาพที่มีโฟกัสชัดเจนที่สุด นี่คือความยอดเยี่ยมคร่าวๆ ของ OPPO Find 7a สุดยอดสมาร์ทโฟนที่มีความสามารถรอบด้าน พร้อมสเปกสุดคุ้มค่าที่มีราคาที่ทุกๆ สามารถจับต้องได้เพียง 15,990 บาท สนหากใครสนใจวันนี้สามารถไปหาจับจอง OPPO Find 7a เป็นเจ้าของได้แล้วตามห้างสรรพสินค้า และร้านค้ามือถือชั้นนำทั่วประเทศ… แหล่งที่มา: www.mxphone.net ![]() LG G2 mini Review by Bluecosmos (@ibluecosmos) เทคโนโลยีส่วนใหญ่มักถูกทำให้เล็กลงเรื่อยๆ บางอย่างก็แค่ทำเล็กลงอย่างเดียว บางอย่างทำให้เล็กลงแถมยังเติมความสามารถหรือส่วนประกอบอื่นๆเข้ามาแทนเพื่อให้ได้ความสามารถที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นอย่างหลังกันซะมากกว่า อาจจะเพราะคนเราต้องการอะไรที่ดีกว่าเดิมเสมอก็เป็นได้ หากย้อนกลับมามองในวงการมือถือ เรามักจะเห็นหลายๆค่ายออกมาทำ Smartphone ในชื่อรุ่น Mini ซึ่งจะตามหลังจากตัวท็อปรุ่นแรกของตัวเอง และอย่างรุ่นที่ผมจะพูดถึงวันนี้มันก็สานต่อมาจาก LG G2 มันก็คือ LG G2 Mini นั่นเอง ![]() LG G2 Mini คงคอนเซปต์เดิมจาก LG G2 ทั้งการออกแบบตัวเครื่อง รวมถึงความสามารถหลักๆที่มีอยู่บน LG G2 ทำให้มันสามารถคงความเป็นรุ่นพี่ของมันได้เป็นอย่างดี ด้วยราคาที่ถูกลงเกือบครึ่งนึง อย่างไรก็ตามหากมาเจาะลงไปที่เรื่องของวัสดุและ Spec นั้น ก็ถูกลงทอนลงมาพอสมควร (ก็แน่ละราคาถูกกว่าจะดีเท่าตัวท็อปคงเป็นไปได้ยาก) หากเทียบรุ่นที่ราคาใกล้เคียงกัน ถือว่า LG G2 Mini เป็นรุ่นนึงที่น่าจับตามองไม่ใช่น้อย ด้านตัวเครื่อง![]() ![]() ![]() ![]() ![]() เรื่องหน่วยประมวลผลตัวเครื่องมาพร้อม CPU Qualcomm Snapdragon 400 ซึ่งเป็น Quad-Core 1.2GHz เป็นตัวใหม่ที่ทาง Qualcomm เปิดตัวมาและเอามาใช้กับรุ่นราคาไม่แพงนัก หากเทียบกันก็พอๆกับ Quad-Core จาก MediaTek นั่นแหละครับ สำหรับเรื่องของ RAM มีมาให้ 1GB ถือว่าใช้ได้กับเครื่องราคาระดับนี้ โดยจากที่ทดสอบใช้งานดูพบว่าใช้งานได้ไหลลื่นดีครับ ไม่มีค้าง และไม่มีปัญหาอะไรกับโปรแกรมหลักๆ ![]() การออกแบบตัวเครื่องอย่างที่กล่าวไปว่ามีการดึงเอาความเป็น G2 มาครบ ไม่ว่าจะเป็นปุ่มควบคุมที่ไปอยู่ด้านหลังทั้ง 3 ปุ่ม วางอยู่ใต้ตัวกล้อง โดยตัวปุ่มนั้นนูนออกมามากกว่าของ G2 นิดหน่อยและดูไม่ค่อยมีน้ำหนักในการกด ทำให้เวลาใส่กระเป๋ามักทำให้หน้าจอเปิดเองบ่อย หรือเข้าโหมดกล้องเองบ่อยไปหน่อย บางทีก็น่าหงุดหงิดนะครับเนี่ย แต่หากถือใช้งานต้องบอกว่าเป็นการวางตำแหน่งปุ่มที่ดีครับ ![]() ![]() สำหรับการออกแบบส่วนอื่นๆ ด้านหน้ายังคงเหมือนกับ LG G2 คือมีขอบหน้าจอที่บางและประหยัดพื้นที่ด้านหน้าค่อนข้างเยอะ ส่วนด้านบนไม่วายมี infrared มาให้ทำให้สามารถทำตัวเครื่องเป็น Smart Remote ได้ด้วย นอกนั้นก็มีช่องใส่หูฟัง 3.5 มม. และไมค์ตัดเสียงรบกวน ส่วนด้านล่างของเครื่องมีช่อง microUSB 2.0 รวมถึงไมค์และลำโพง ที่ออกแบบมาเหมือนกัน อารมณ์เดียวกับ iPhone ![]() ![]() วัสดุของเครื่องด้านหน้าไม่ต่างจาก LG G2 แต่ส่วนข้างเครื่องหรือด้านหลัง วัสดุดูดรอปจาก G2 แบบชัดเจน โดยเฉพาะฝาหลังที่กลายเป็นพลาสติกลายขรุขระลดราคาลงแบบชัดเจน แต่จับแล้วหากบอกว่าราคาต่ำหมื่นได้วัสดุแบบนี้ก็ไม่แปลกครับ ![]() ฝาหลังเองแกะออกมาได้ เปิดออกมาพบกับแบตเตอรี่แบบแกะได้ 2,440 mAh ใส่ได้ 2 SIM แบบ microSIM และแน่นอนมีช่องใส่ microSD card มาให้ด้วยเช่นกัน ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() เครือข่ายที่รองรับของ LG G2 Mini อันนี้ต้องบอกว่าไม่มีที่ติเพราะรองรับเครือข่าย 3G แบบ Quadband 850/900/1900/2100MHz ก็ถือว่ามาตรฐานโลกใช้ในไทยก็ไร้ปัญหา และแน่นอนเป็น 2 SIM แบบ microSIM ทั้งคู่ ซึ่งรองรับการใช้งาน 3G ทั้ง 2 ซิมเลยครับ สามารถเลือกค่า Default หลักในเมนูได้ เช่น พวกการโทรออก, SMS, Data ได้ ทำให้สามารถใช้งานได้ง่าย สำหรับการใช้งานก็ต้องบอกว่าเครื่องรับสัญญาณได้ดี ไร้ปัญหาครับ ![]() ![]() นอกจากนี้เรื่องการใช้งานเชื่อมต่ออื่นๆ เช่น Wi-Fi ก็ถือว่าทำได้ดี ไม่มีหลุดรวมถึงการรับสัญญาณเองก็ทำได้อยู่ในระดับมาตรฐานครับ อยู่บ้านชั้น 2 วางเร้าเตอร์ชั้น 1 ใช้งานได้ไร้กังวล ส่วนการเชื่อมต่ออื่นๆก็มีหลักๆมาให้ครบยกเว้น NFC ครับ แหล่งที่มา: www.mxphone.net ZTE NUBIA W5 ดูเหมือนว่า Windows Phone จะเริ่มเนื้อหอมขึ้นเรื่อยๆ หลังจากได้พันธมิตรเพิ่มเติมมาอีกหลายราย ล่าสุดก็มีข้อมูลมาว่าสมาร์ทโฟนตัวแรกของ Windows Phone 8.1 ที่จะใช้ชิปที่แรงที่สุดในตอนนี้อย่าง Snapdragon 801 ก็คือ… ZTE Nubia W5… ไม่ใช่แบรนด์ใหญ่อย่าง Nokia, Samsung, HTC, LG แต่ประการใด ZTE เองถือได้ว่าเป็นพันธมิตรรายใหม่ของ Windows Phone ในตอนนี้ โดยอยู่ในกลุ่มที่จะช่วย Microsoft ตีตลาดสมาร์ทโฟนที่มีราคาถูกกว่าในปัจจุบัน ดังนั้นการที่มีข่าวว่า ZTE จะทำสมาร์ทโฟนใส่ชิปสุดแรงอย่าง Snapdragon 801 นั้นออกจะผิดคาดไปหน่อย อย่างไรก็ตาม WM PowerUser รายงานว่า Nubia W5 นั้นมีจริง และมีหน้าตาที่คล้ายกับ Lumia 1520 อย่างมากเลยล่ะ
สำหรับสเปคของ Nubia W5 นั้นสเปคเวอร์จนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นจริง เพราะแหล่งข่าวบอกว่าจะมี RAM มากถึง 3GB และแบตเตอรี 4,500 mAh และกล้องหลัง 13 Megapixel พร้อมระบบกันสั่นไหว… อย่างไรก็ตาม นี่น่าจะยืนยันเป็นอย่างดีที่ Qualcomm เคยพูดถึงประเทศจีนว่าเป็นประเทศที่บ้าสเปคเป็นอย่างมาก ขอให้ตัวเลขเยอะๆ ไว้ก่อน ส่วนประสิทธิภาพจะเป็นอย่างไรนั้นค่อยว่ากันทีหลัง แล้ว ZTE Nubia W5 จะมีจริงหรือไม่ สเปคจะแรงเวอร์อย่างที่เห็นไหม คงต้องรอดูกันอีกสักพักว่าจะมีข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่นั่นเอง ที่มา: Technology Tell LG G3 หน้าตาแบบนี้ ซื้อกันมั้ย ??? หลุดมาเห็นกันอยู่เรื่อยๆ สำหรับเรือธงตัวใหม่ LG G3 ที่คอนเฟิร์มแล้วว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 พฤษภาคม ![]() และล่าสุด @evleaks ทวิตเตอร์ชื่อดังที่มักได้ข้อมูลเบื้องลึกมาโปรโมทให้โลกออนไลน์ได้รับรู้ ได้ปล่อยภาพชุดใหม่ของ LG G3 ที่เห็นชัดๆทั้งด้านและด้านหลัง มาใน 3 เฉดสีและวัสดุที่เห็นแล้วทำให้เชื่อว่าน่าจะเป็นโลหะอลูมิเนียมแบบUnibody พร้อมกับเซนเซอร์ลึกลับที่วางอยู่ด้านซ้ายของกล้องหลัง โดยเว็บไซต์ Phonearena วิเคราะห์ว่าน่าจะเป็น"เลเซอร์โฟกัสอัตโนมัติ" แต่ยังไม่สามารถสรุปการงานได้ในเวลานี้ LG G3 มีรายงานว่าจะมีหน้าจอแสดงผลขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 2560 x 1440 พิกเซล ส่วนคุณสมบัติอื่นๆจะปรากฎความชัดเจนในวันที่ 27 พฤษภาคมนี้ครับ ![]() ![]() ![]() ที่มา Phonearena สนับสนุนบทความ : Arip ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ ปากกา S Pen นับ ตั้งแต่ Samsung Galaxy Note 3 เปิดตัวเป็นต้นมา ปากกา S Pen เอง ก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ด้วยเช่นกัน โดยฟีเจอร์ใหม่นี้ เรียกว่า Air Command ซึ่งจะมีเมนูย่อย 5 แบบด้วยกัน ดังนี้ ![]() Action Memo เป็นฟีเจอร์ที่แปลงข้อความต่างๆ ที่เขียนด้วยลายมือ เช่น ถ้าหากเขียนเบอร์โทรศัพท์ลงไป ระบบจะมีเมนูขึ้นมาให้คลิกต่อว่า จะบันทึกเบอร์นี้ หรือโทรออก ซึ่งผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเพิ่มข้อมูลเองอีกรอบ ถือว่า สะดวกมากเลยทีเดียว ![]() สมุดภาพ หรือ Scrapbook เป็นการ capture ภาพที่ชอบและอยากจะเขียนไว้เป็นบันทึกส่วนตัว (ไม่จำเป็นต้อง capture ทั้งหน้าจอ) นอกจากนี้ ยังสามารถเก็บบันทึกเป็นหมวดหมู่ได้ ![]() Screen Write หรือการขีดเขียนบนหน้าจอ จะเป็นเหมือนกับการ capture หน้าจอครับ แล้วสามารถเขียนข้อความ วาดรูป หรืออะไรก็ได้ ลงไปบนภาพๆ นั้น ![]() และ บางที แอพพลิเคชั่น, รูปภาพ, เอกสาร หรือไฟล์ต่างๆ ที่มีในตัวเครื่อง ก็มีมากมายจนเราหาไม่เจอ ซัมซุง จึงได้เพิ่มแอพพลิเคชั่น ที่มีชื่อว่า S Finder สำหรับค้นหาแอพพลิเคชั่นที่ต้องการ ในระยะเวลาสั้นๆ ![]() Pen Window หรือหน้าต่างปากกา สำหรับเรียกแอพพลิเคชั่นแบบ shortcut ไม่ว่าจะเป็น เครื่องคิดเลข, นาฬิกา, YouTube, โทรศัพท์, รายชื่อ, ChatON หรือเบราว์เซอร์ ซึ่งสามารถเปิดใช้งานขณะอยู่หน้าใดก็ได้ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos : ทดสอบกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ![]() สำหรับ กล้องด้านหลังบน Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos ความละเอียดอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล ซึ่งลดลงจาก 13 ล้านพิกเซลบน Samsung Galaxy Note 3 นอกจากนี้ ลูกเล่นการใช้งานยังน้อยกว่า โดยโหมดการถ่ายรูป มีให้เลือกทั้งแบบ อัตโนมัติ, หน้าสวย, รูปภาพที่ดีที่สุด, ถ่ายต่อเนื่อง, Best Face, เสียงและช็อต, HDR, Panorama, กีฬา และโหมดถ่ายภาพกลางคืน มาชมตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องของ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos กันครับ (คลิกที่ภาพเพื่อชมภาพขนาดเต็ม แบบไม่ผ่านการตกแต่งใดๆ)
Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos : บทสรุปการใช้งาน ![]() สำหรับ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos นั้น ถึงแม้ว่า สเปคจะสู้ Samsung Galaxy Note 3 ไม่ได้ แต่ถ้าพูดถึงแง่ของ การพกพา จะสะดวกกว่ามาก เนื่องจากตัวเครื่องมีขนาดที่เล็กกว่า อีกทั้งฟีเจอร์การใช้งาน ก็ไม่แพ้ตัวหลักอย่าง Samsung Galaxy Note 3 อีกด้วย ซึ่งถ้าหากพิจารณาในเชิงลึก จะเห็นว่า สเปคเพียงแค่นี้ บางครั้งก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้วครับ เราไม่จำเป็นต้องซื้อ มือถือสเปคแรงๆ เพื่อนำมาใช้งานแค่ไม่กี่อย่าง แต่เราควรจะเลือกซื้อ มือถือ ที่เหมาะกับการใช้งานของเราจะดีกว่า นอกจากนี้ จุดเด่นของ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos ที่ Galaxy Note 3 ไม่มี ก็คือ รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด นั่นเอง ซึ่งสะดวกมากสำหรับผู้ที่มีเบอร์โทรศัพท์หลายเบอร์ แต่ไม่อยากจะพก สมาร์ทโฟน หลายเครื่อง สำหรับราคาของ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos รุ่นนี้ อยู่ที่ 17,800 บาท มี 3 สีให้เลือก ได้แก่ สีดำ, สีขาว และสีเขียว ผู้ที่สนใจ สามารถทดลองใช้งานกันได้ ที่ ซัมซุง ช็อป หรือตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้านครับ จุดเด่นของ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos • รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด • รองรับเครือข่าย 3G ทุกคลื่นความถี่ (850/900/1900/2100 MHz) • จอแสดงผลกว้าง 5.5 นิ้ว แบบ Super AMOLED Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 720 x 1280 พิกเซล (267 ppi) • หน่วยประมวลผลแบบ Quad-Core Processor ความเร็ว 1.6 GHz • หน่วยประมวลผลภาพ Adreno 305 GPU • หน่วยความจำ RAM 2 GB • หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง ขนาด 16 GB รองรับ microSD card สูงสุด 64 GB • กล้องด้านหน้า ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล • กล้องด้านหลัง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อม LED Flash • รัน Android 4.3 Jelly Bean • แบตเตอรี่แบบ Li-Ion ขนาด 3100 mAh รองรับการใช้งานตลอดทั้งวัน • มีปากกา S Pen ในตัว • ฝาด้านหลัง ทำมาจากหนังเทียม ให้ดีไซน์ดูหรูหรา และมีระดับ จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม • ไม่รองรับ NFC • ไม่รองรับการใช้งานกับเครือข่าย 4G LTE ข้อควรทราบ: “เครื่อง Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos ที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้ เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทาง ซัมซุง เท่านั้น ยังไม่ใช่เครื่องที่วางจำหน่ายจริงแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นตัวเครื่อง หรือฟังก์ชันการทำงานบางอย่างอาจจะยังไม่สมบูรณ์ 100% เหมือนกับเครื่องที่วางจำหน่ายจริง” บทความรีวิวโดย: techmoblog.com รีวิว Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos : อินเทอร์เฟส และการใช้งานเบื้องต้น![]() Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 4.3 (Jelly Bean) และอินเทอร์เฟสแบบ TouchWiz แน่นอนว่า ผู้ที่เคยใช้ มือถือซัมซุง มาก่อน คงจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ![]() สำหรับ หน้า Homescreen นั้น ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนวอลเปเปอร์, เลือกแอพพลิเคชั่นที่ใช้งานบ่อย มาสร้าง shortcut ไว้ด้านหน้า หรือปรับเปลี่ยน Widget ได้ตามใจ โดย Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos รองรับ Homescreen สูงสุด 7 หน้าด้วยกัน ![]() Notification Center แหล่งแจ้งเตือนการใช้งานต่างๆ ทั้งข้อความ, อีเมล หรือการอัพเดทแอพพลิเคชั่น นอกจากนี้ ยังมีเมนูลัด สำหรับตั้งค่าการใช้งานต่างๆ เช่น Wi-Fi, GPS, เสียง หรือ Bluetooth เป็นต้น ไม่เพียงเท่านั้น ยังสามารถเลือกใช้งาน ซิมการ์ดที่ 1 หรือ 2 ได้จากส่วนนี้เช่นกัน ![]() การ กดปุ่ม Home ค้างไว้ เป็นการเข้าสู่เมนู Multitasking นั่นเอง ผู้ใช้สามารถเลือกเพื่อเข้าใช้งานแอพพลิเคชั่นที่เคยเปิดใช้งานมาแล้วก่อน หน้านั้น หรือลบออกเมื่อไม่ใช้งาน เพื่อเป็นการเพิ่ม RAM ให้กับตัวเครื่องด้วย ![]() ส่วน การกดปุ่ม Home 2 ครั้ง จะเข้าสู่เมนู S Voice ครับ ซึ่งการทำงานของ S Voice คล้ายกับ Siri บน iOS นั่นเอง โดยเป็นการสอบถามข้อมูลทั่วไป เช่น สภาพอากาศ, การนัดหมาย และอื่นๆ ![]() มา ดูกันที่หน้าแอพพลิเคชั่นรวมกันบ้าง จะเห็นได้ว่า Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos รุ่นนี้ มีแอพพลิเคชั่นพื้นฐาน มาให้อย่างครบครันทีเดียว ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดเพิ่มเติมครับ ส่วน Widget ก็มีให้เลือกใช้หลากหลายเช่นกัน ![]() สำหรับ ฟังก์ชัน Multi-window ก็สามารถใช้งานบน Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos ได้เช่นกันครับ เนื่องจากหน้าจอมีขนาดใหญ่นั่นเอง โดยสามารถเปิดใช้งาน แอพพลิเคชั่น 2 แอพฯ ได้ในหน้าจอเดียว เช่น หน้าจอบน ดู YouTube ส่วนหน้าจอล่าง เช็คอีเมล เป็นต้น ![]() ใน ส่วนของหน้าการใช้งานโทรศัพท์นั้น จะเห็นได้ว่า ปุ่มโทรออก จะมีให้เลือกว่า จะโทรออกจากซิมการ์ดที่ 1 หรือ 2 นอกจากนี้ รายชื่อผู้ติดต่อ ยังระบุว่า เป็นรายชื่อที่อยู่ในซิมการ์ดที่ 1 หรือ 2 อีกด้วย ![]() บน Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos นั้น มีเบราว์เซอร์ให้เลือกใช้งาน 2 แบบด้วยกัน นั่นก็คือ Android Browser และ Chrome แต่ถ้าหากยังไม่ถูกใจ สามารถดาวน์โหลดเบราว์เซอร์เพิ่มเติมได้ ที่ Play Store ![]() Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos นั้นมาพร้อมกับระบบ GPS และ A-GPS ในตัว สามารถใช้งานร่วมกับแอพพลิเคชั่นประเภทการนำทางได้ทันที รวมถึงแอพพลิเคชั่น ในเครื่องอย่าง Google Maps ด้วยเช่นเดียวกัน ![]() S Health แอพพลิเคชั่น ที่จะเข้ามาช่วยดูแลและจัดการสุขภาพของผู้ใช้งาน ซึ่งสามารถตั้งเป้าหมาย ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพได้อย่างง่ายดาย โดยเน้นการออกกำลังกายเป็นหลักนั่นเอง ![]() S Note เวอร์ชันปรับปรุงใหม่ สามารถใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น นอกเหนือจากการจดโน้ตแบบปกติแล้ว S Note ยังสามารถสร้างกราฟแบบง่ายๆ ทั้งกราฟแท่ง, กราฟเส้น หรือ Pie graph โดยใช้ควบคู่กับปากกา S Pen เรียกได้ว่า สะดวกมากเลยทีเดียว ![]() ส่วน แอพพลิเคชั่นพื้นฐานอย่าง เครื่องคิดเลข และเครื่องบันทึกเสียง ก็มีให้ใช้งานด้วยเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดเพิ่มเติมแต่อย่างใด ![]() นอก จากนี้ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos ยังมีแอพพลิเคชั่นที่น่าสนใจอีกมากมาย ซึ่งรวมอยู่ในแอพพลิเคชั่น Samsung, Galaxy Plus และ Google โดยผู้ใช้สามารถลากออกมาจากโฟลเดอร์ดังกล่าวได้ ![]() และถ้าหากแอพพลิเคชั่นที่ให้มาในตัวเครื่อง ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ สามารถดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้ที่ Play Store ครับ ![]() มา ดูการทดสอบ Benchmark บน Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos กันบ้าง โดยผลการทดสอบด้วยโปรแกรม Quadrant วัดความเร็วในการทำงานของ CPU และกราฟฟิค อยู่ที่ 11349 คะแนน ส่วน AnTuTu ทดสอบ CPU, 2D & 3D graphics, SD card และ Database อยู่ที่ 21406 คะแนน และ มัลติทัช รองรับที่ 10 จุดครับ บทความรีวิวโดย: techmoblog.com [รีวิว] Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos สัมผัสประสบการณ์ด้านการใช้งานแบบเดียวกับ Note 3 ในราคาไม่ถึง 20,000 บาท ถ้าหากพูดถึง สมาร์ทโฟนซัมซุง ในตระกูล Galaxy Note ปีนี้ นับว่า เป็นปีแรกที่ซัมซุง แยกไลน์ Galaxy Note 3 ออกมาเป็นอีกรุ่น และจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่า พร้อมกับปรับลดสเปคลง ซึ่งสมาร์ทโฟนที่ทีมงานจะนำมารีวิวให้ชมกันในวันนี้ ก็คือ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos นั่นเอง ![]() แม้ว่าสเปคของ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos จะด้อยกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นพี่อย่าง Samsung Galaxy Note 3 ไปบ้าง แต่โดยภาพรวมแล้ว ถือว่า ไม่ได้แย่แต่อย่างใดครับ เพราะนอกจากจะคงคอนเซปท์ สมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่แล้ว ในส่วนของหน่วยประมวลผลของ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos ก็ยังเป็นแบบ Quad-Core Processor ความเร็ว 1.6 GHz ซึ่งถือว่า ตอบสนองต่อการใช้งานได้ดีเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีปากกา S Pen ในตัว ไม่จำเป็นต้องหาซื้อเพิ่มแต่อย่างใด มาดูกันครับว่า Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos รุ่นนี้ จะแตกต่างจาก Samsung Galaxy Note 3 มากน้อยแค่ไหน กับบทความ รีวิว Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos โดยทีมงาน techmoblog ครับ สเปค Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos - จอแสดงผลกว้าง 5.5 นิ้ว แบบ Super AMOLED Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 720 x 1280 พิกเซล (267 ppi) - หน่วยประมวลผลแบบ Quad-Core Processor ความเร็ว 1.6 GHz - หน่วยประมวลผลภาพ Adreno 305 GPU - หน่วยความจำ RAM 2 GB - หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง ขนาด 16 GB รองรับ microSD card สูงสุด 64 GB - กล้องด้านหน้า ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล - กล้องด้านหลัง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อม LED Flash - รัน Android 4.3 Jelly Bean - แบตเตอรี่แบบ Li-Ion 3100 mAh - รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด - ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 17,800 บาท รีวิว Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos : ดีไซน์ และการออกแบบ ![]() Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos มาพร้อมกับจอแสดงผลกว้าง 5.5 นิ้ว แบบ Super AMOLED Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 720 x 1280 พิกเซล (267 ppi) ซึ่งดีไซน์โดยรวม จะเห็นว่า เหมือนกับ Samsung Galaxy Note 3 แต่ตัวเครื่องมีขนาดเล็กกว่า โดย Samsung Galaxy Note 3 มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 5.7 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล (Full HD) ![]() ด้านบนของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย ลำโพงสนทนา, Proximity Sensor สำหรับการปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา, Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้ และกล้องด้านหน้า ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ![]() ด้านล่างของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย ปุ่มควบคุมการทำงาน 3 ปุ่มหลัก ได้แก่ ปุ่ม Home ซึ่งเป็นปุ่มแบบ Physical button ส่วน 2 ปุ่มซ้ายขวา คือปุ่ม Menu และปุ่ม Back ซึ่งเป็นปุ่มแบบสัมผัส และสามารถใช้ปากกา S Pen แตะสัมผัสได้ด้วยเช่นกัน ![]() ด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิด หรือล็อคหน้าจอ ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่อง เป็นปุ่มปรับระดับเสียง ![]() ด้านบนของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ไมโครโฟนตัวที่สอง สำหรับตัดเสียงรบกวนรอบข้าง และช่องหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มิลลิเมตร ส่วนด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ไมโครโฟนหลักสำหรับสนทนา, พอร์ต microUSB, ลำโพงเสียง และช่องสำหรับเก็บปากกา S Pen ![]() ![]() สำหรับฝาหลังของ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos นั้น ทำมาจากหนังเทียม แบบเดียวกับ Samsung Galaxy Note 3 ครับ ซึ่งกล้องด้านหลัง มีความละเอียดอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล พร้อม LED Flash ![]() ![]() สำหรับปากกา S Pen บน Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos นั้น เรียกได้ว่า มีลูกเล่นมากมายเลยทีเดียว แต่จะมีฟีเจอร์เด่นอะไรบ้างนั้น ชมกันต่อได้ในรีวิวส่วนถัดไปครับ ![]() ![]() ความแตกต่างระหว่าง Samsung Galaxy Note 3 และ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos ก็คือ รุ่นนี้รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดนั่นเอง และใช้ซิมการ์ดแบบ microSIM ทั้ง 2 ซิมครับ ส่วนแบตเตอรี่ปรับความจุลงเล็กน้อย จากเดิม 3200 mAh เหลือ 3100 mAh ซึ่งรองรับการใช้งานได้นานพอสมควรเช่นกัน บทความรีวิวโดย: techmoblog.com [รีวิว] Samsung Galaxy S Duos 2 สมาร์ทโฟน 2 ซิมการ์ด รูปทรงกะทัดรัด ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ในราคาไม่เกิน 5,000 บาท ปัจจุบัน สมาร์ทโฟนตั้งแต่ระดับล่าง ไปจนถึงระดับกลาง ที่รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด มีให้เลือกซื้อกันอย่างมากมาย ด้วยสเปค และราคาที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่หลักพันต้นๆ ไปจนถึงหลักหมื่นก็มี ซึ่งในวันนี้จะมาแนะนำ สมาร์ทโฟน 2 ซิมการ์ด ที่น่าสนใจอีก 1 รุ่น นั่นก็คือ Samsung Galaxy S Duos 2 นั่นเอง ![]() โดย Samsung Galaxy S Duos 2 รุ่นนี้ เป็นมือถือที่ต่อยอดมาจาก Samsung Galaxy S Duos รุ่นแรกนั่นเองครับ ซึ่งมีดีไซน์เหมือนเดิม แต่ยกเครื่องภายในใหม่ ให้แรงขึ้น พร้อมกับราคาที่ถูกกว่า เพียง 4,900 บาทเท่านั้น มาดูกันครับว่า สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ จะมีความน่าสนใจอย่างไร คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือไม่ สเปค Samsung Galaxy S Duos 2 - จอแสดงผลกว้าง 4.0 นิ้ว แบบ TFT Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 480 x 800 พิกเซล (233 ppi) - หน่วยประมวลผลแบบ Dual-Core Cortex-A9 Processor (BCM 28145/28155 chipset) ความเร็ว 1.2 GHz - หน่วยประมวลผลภาพ Broadcom VideoCore IV GPU - หน่วยความจำ RAM ขนาด 768 MB - หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง ขนาด 4 GB รองรับ microSD card สูงสุด 64 GB - รันระบบปฏิบัติการ Android 4.2 (Jelly Bean) - แบตเตอรี่ Li-Ion 1500 mAh - กล้องด้านหน้า ความละเอียดระดับ VGA - กล้องด้านหลัง ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อม LED Flash - รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด Samsung Galaxy S Duos 2 : ดีไซน์ และการออกแบบ ![]() Samsung Galaxy S Duos 2 มาพร้อมหน้าจอแสดงผลกว้าง 4.0 นิ้ว แบบ TFT Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 480 x 800 พิกเซล (233 ppi) ซึ่งมีขนาดที่ใกล้เคียงกับ iPhone 5S ครับ น้ำหนักเบา และพกพาได้สะดวก ![]() ด้านบนของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย กล้องด้านหน้า ความละเอียดระดับ VGA, เซ็นเซอร์ และลำโพงสำหรับสนทนา ![]() ด้านล่างของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย ปุ่มควบคุมการทำงานทั้งหมด 3 ปุ่มด้วยกัน โดย 2 ปุ่มซ้ายและขวา เป็นปุ่มเมนู และปุ่มย้อนกลับ ซึ่งเป็นแบบสัมผัส ส่วนตรงกลาง คือปุ่ม Home ![]() ด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดเครื่อง หรือล็อคหน้าจอแสดงผล ถัดมา เป็นช่องสำหรับใส่ microSD card มีฝาปิด รองรับสูงสุด 64 GB ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ปุ่มปรับระดับเสียง และรูคล้องสายโทรศัพท์ ส่วนตรงฝาปิดนั้น เป็นที่สำหรับแกะฝาด้านหลังครับ ![]() ด้านบนของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร ส่วนด้านล่าง ประกอบด้วย ไมโครโฟน และพอร์ต microUSB สำหรับเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่อถ่ายโอนข้อมูล หรือชาร์จแบตเตอรี่ ![]() ![]() ฝาด้านหลังของ Samsung Galaxy S Duos 2 เป็นพลาสติกมีลวดลาย ประกอบด้วย ลำโพง, กล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อม LED Flash ![]() ![]() ![]() Samsung Galaxy S Duos 2 รุ่นนี้ รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด และรองรับซิมการ์ดแบบ miniSIM ทั้ง 2 ซิม ส่วนแบตเตอรี่ มีความจุอยู่ที่ 1500 mAh โดย Samsung Galaxy S Duos 2 รุ่นที่นำมาทดสอบนี้ เป็นโมเดล S7582 ซึ่งรองรับเครือข่าย 3G คลื่นความถี่ 900/2100 MHz ส่วนโมเดล S7582L จะรองรับเครือข่าย 3G คลื่นความถี่ 850/2100 MHz ฉะนั้น ใช้เครือข่ายไหนอยู่ อย่าลืมตรวจสอบโมเดลที่จะซื้อให้ถูกต้องด้วยนะครับ Samsung Galaxy S Duos 2 : อินเทอร์เฟส และการใช้งานเบื้องต้น ![]() Samsung Galaxy S Duos 2 มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 4.2 (Jelly Bean) ตั้งแต่แกะกล่อง และ TouchWiz UI ฉะนั้น ผู้ที่เคยใช้ มือถือซัมซุง มาก่อน คงจะคุ้นเคยกับหน้าตานี้กันดีอยู่แล้ว ซึ่งการปลดล็อค ทำได้ด้วยการเลื่อนหน้าจอเพื่อทำการปลดล็อค ส่วนวอลเปเปอร์ ทั้งในหน้า Lockscreen และ Homescreen สามารถเปลี่ยนเองได้ตามใจชอบครับ ![]() สำหรับหน้า Homescreen นั้น ผู้ใช้สามารถเลือกแอพพลิเคชั่น ที่ใช้งานบ่อย มาสร้างเป็น shortcut ได้เช่นกัน รวมไปถึง Widget สามารถเลือกใส่ได้ตามใจชอบครับ ซึ่งหน้า Homescreen สามารถเพิ่มได้สูงสุด 7 หน้า ![]() Notification Center แหล่งรวมข้อความแจ้งเตือนต่างๆ ทั้งอีเมล, SMS และอื่นๆ อีกมากมาย ไม่เพียงเท่านั้น ยังสามารถปรับความสว่างของหน้าจอได้จากส่วนนี้ พร้อมทั้งกับเลือกซิมการ์ดที่ต้องการ นอกจากนี้ ยังมีเมนูลัด สำหรับตั้งค่าการใช้งานต่างๆ เช่น Wi-Fi, GPS, เสียง หรือ Bluetooth เป็นต้น โดยการเปิดใช้งาน Notification Center สามารถนำได้ด้วยการ ลากจากด้านบนหน้าจอ มาด้านล่างครับ ![]() การกดปุ่ม Home ค้างไว้ เป็นการเข้าสู่เมนู Multitasking นั่นเอง ผู้ใช้สามารถเลือกเพื่อเข้าใช้งานแอพพลิเคชั่นที่เคยเปิดใช้งานมาแล้วก่อน หน้านั้น หรือลบออกเมื่อไม่ใช้งาน เพื่อเป็นการเพิ่ม RAM ให้กับตัวเครื่องด้วย โดย Samsung Galaxy S Duos 2 นั้น มีหน่วยความจำ RAM อยู่ที่ 768 MB ![]() มากันที่ แอพพลิเคชั่นรวม กันบ้างครับ โดยในส่วนนี้ ประกอบด้วย เมนูย่อยๆ ทั้งหมด 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ Application, Widget และ แอพพลิเคชั่นที่ดาวน์โหลดมา ![]() สำหรับในส่วนของ การใช้งานโทรศัพท์ แป้นแสดงปุ่มกดชัดเจนดี นอกจากนี้ สามารถเลือกได้ว่า จะโทรออกจากซิมการ์ดที่ 1 หรือ ซิมการ์ดที่ 2 ![]() เห็นเครื่องจิ๋วๆ แบบนี้ แต่ Samsung Galaxy S Duos 2 ก็มีแอพพลิเคชั่นพื้นฐานมาให้ใช้งานอย่างครบครัน ทั้งเครื่องคิดเลข และเครื่องบันทึกเสียง ![]() ส่วนวิทยุ FM ก็ขาดไม่ได้เช่นกัน ซึ่งก่อนใช้งาน จะต้องเสียบหูฟังเสียก่อนครับ ![]() อยากจะจดโน้ต แต่ไม่มีกระดาษ ทำอย่างไรดี? เปิดแอพพลิเคชั่น สมุดบันทึก ขึ้นมาใช้งานได้เลย รองรับทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษครับ ![]() แอพฯ ไหนขาด แอพฯ ไหนไม่มี อยากเล่นเกมสนุกๆ เกมฮิตๆ เปิด Play Store ขึ้นมา ตอบโจทย์ได้ครบ ซึ่งจะต้องล็อคอินก่อนเข้าใช้งานทุกครั้ง ![]() ไปไหนไม่มีหลงทาง กับ Google Maps ที่นอกจากจะบอกแผนที่อย่างละเอียดยิบแล้ว ยังสามารถใช้เป็น เครื่องมือนำทางได้อีกด้วย ![]() ลองมาทดสอบการใช้งาน เบราว์เซอร์ กันบ้างครับ โดยบน Samsung Galaxy S Duos 2 นั้น มีเบราว์เซอร์ให้เลือกใช้งาน 2 แบบด้วยกัน นั่นก็คือ Android Browser และ Chrome แต่ถ้าหากยังไม่ถูกใจ สามารถดาวน์โหลดเบราว์เซอร์เพิ่มเติมได้ ที่ Play Store ![]() นึกไม่ออก จะดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นอะไรมาใช้งานดี เปิด Samsung Apps มีคำตอบให้ครบทุกหมวด นอกจากนี้ ยังมีแอพฯ ที่ถูกคัดสรรโดยซัมซุง มาให้เลือกดาวน์โหลดอีกด้วย ![]() มาทดสอบ Benchmark บน Samsung Galaxy S Duos 2 กันเสียหน่อยครับ โดยผลการทดสอบด้วยโปรแกรม Quadrant วัดความเร็วในการทำงานของ CPU และกราฟฟิค อยู่ที่ 3680 คะแนน, AnTuTu ทดสอบ CPU, 2D & 3D graphics, SD card และ Database อยู่ที่ 12243 คะแนน ส่วนมัลติทัช รองรับที่ 2 จุดครับ Samsung Galaxy S Duos 2 : ทดสอบใช้งานกล้องด้านหลัง ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ![]() สำหรับความละเอียดของกล้องด้านหลัง บน Samsung Galaxy S Duos 2 รุ่นนี้ อยู่ที่ 5 ล้านพิกเซล พร้อม LED Flash ครับ แม้ว่าตัวเครื่องจะเป็นระบบ ออโต้โฟกัส แต่ผู้ใช้จำเป็นต้องเลือกจุดโฟกัสเอง ด้วยการสัมผัสไปตรงๆ ที่หน้าจอ ซึ่งโฟกัสได้ช้าเล็กน้อย ส่วนลูกเล่นของแอพพลิเคชั่น กล้องถ่ายรูป บน Samsung Galaxy S Duos 2 นั้น จะมีหมวดการถ่ายภาพให้เลือก 7 แบบ ได้แก่ อัตโนมัติ, รูปภาพที่ดีที่สุด, ถ่ายต่อเนื่อง, เสียงและช็อต, พาโนรามา, กีฬา และการถ่ายภาพกลางคืน นอกจากนี้ ยังสามารถปรับการใช้งานในส่วนอื่นๆ ได้อีก เช่น ตั้งเวลาถ่ายภาพ, เปิด-ปิดไฟแฟลช เป็นต้น มาดูตัวอย่างภาพจากกล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซล บน Samsung Galaxy S Duos 2 กันครับ (คลิกที่รูป เพื่อชมภาพขนาดจริง แบบไม่ผ่านการตกแต่งใดๆ)
Samsung Galaxy S Duos 2 : สรุปการใช้งาน ![]() สำหรับตลาดมือถือ 2 ซิมการ์ดนั้น ปัจจุบันถือว่า มีการแข่งขันค่อนข้างสูง และมีให้เลือกซื้อกันอย่างมากมาย โดย Samsung Galaxy S Duos 2 นั้น ถือว่า เป็นอีกรุ่นหนึ่งที่น่าสนใจครับ เพราะนอกจากจะรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดแล้ว ยังมีขนาดที่กะทัดรัด, พกพาได้สะดวก และราคาที่ไม่แพงจนเกินไปอีกด้วย ซึ่ง Samsung Galaxy S Duos 2 มีราคาค่าตัวอยู่ที่ 4,900 บาทเท่านั้น นอกจากนี้ สเปคยังรองรับการใช้งานทั่วๆ ไป เน้นการใช้งานด้านโทรศัพท์เป็นหลัก ท่องอินเทอร์เน็ต หรือแชทผ่านโปรแกรม แต่คงจะไม่เหมาะกับการใช้งานด้านการเล่นเกมเท่าใดนัก เนื่องจาก RAM ที่ให้มานั้น ค่อนข้างน้อยนั่นเอง สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถทดลองใช้งาน Samsung Galaxy S Duos 2 กันก่อนได้ ที่ซัมซุง ช้อป หรือตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้านครับ จุดเด่นของ Samsung Galaxy S Duos 2 • ตัวเครื่องมีขนาดกะทัดรัด, น้ำหนักเบา และพกพาสะดวก • จอแสดงผลกว้าง 4.0 นิ้ว แบบ TFT Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 480 x 800 พิกเซล (233 ppi) • หน่วยประมวลผลแบบ Dual-Core Cortex-A9 Processor (BCM 28145/28155 chipset) ความเร็ว 1.2 GHz • หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง ขนาด 4 GB รองรับ microSD card สูงสุด 64 GB • รัน Android 4.2 (Jelly Bean) ตั้งแต่แกะกล่อง • มีวิทยุ FM ในตัว • กล้องด้านหน้า ความละเอียดระดับ VGA • กล้องด้านหลัง ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อม LED Flash • รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด • รองรับเครือข่าย 3G (แต่จะต้องตรวจสอบโมเดลกับเครือข่ายก่อนซื้อทุกครั้ง) จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม • หน่วยความจำ RAM น้อยเกินไป ไม่เพียงพอต่อการเปิดใช้งานหลายแอพพลิเคชั่นพร้อมกัน • แม้ตัวกล้องจะมาพร้อมกับระบบออโต้โฟกัส แต่ผู้ใช้จำเป็นต้องเลือกจุดโฟกัสเอง นอกจากนี้ ระบบโฟกัสยังหน่วงเล็กน้อย ข้อควรทราบ: “เครื่อง Samsung Galaxy S Duos 2 ที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้ เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทาง ซัมซุง เท่านั้น ยังไม่ใช่เครื่องที่วางจำหน่ายจริงแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นตัวเครื่อง หรือฟังก์ชันการทำงานบางอย่างอาจจะยังไม่สมบูรณ์ 100% เหมือนกับเครื่องที่วางจำหน่ายจริง” บทความรีวิวโดย: techmoblog.com |