![OPPO R1 OPPO R1 review oppo review](http://www.mxphone.net/wordpress/wp-content/uploads/2014/02/oppo-r1-004.jpg)
OPPO R1
![OPPO R1 OPPO R1 review oppo review](http://www.mxphone.net/wordpress/wp-content/uploads/2014/02/oppo-r1-002.jpg)
สัมผัสเครื่อง OPPO R1
![OPPO R1 OPPO R1 review oppo review](http://www.mxphone.net/wordpress/wp-content/uploads/2014/02/oppo-r1-006.jpg)
![OPPO R1 OPPO R1 review oppo review](http://www.mxphone.net/wordpress/wp-content/uploads/2014/02/oppo-r1-020.jpg)
![OPPO R1 OPPO R1 review oppo review](http://www.mxphone.net/wordpress/wp-content/uploads/2014/02/oppo-r1-009.jpg)
![OPPO R1 OPPO R1 review oppo review](http://www.mxphone.net/wordpress/wp-content/uploads/2014/02/oppo-r1-010.jpg)
![OPPO R1 OPPO R1 review oppo review](http://www.mxphone.net/wordpress/wp-content/uploads/2014/02/oppo-r1-011.jpg)
![OPPO R1 OPPO R1 review oppo review](http://www.mxphone.net/wordpress/wp-content/uploads/2014/02/oppo-r1-012.jpg)
![OPPO R1 OPPO R1 review oppo review](http://www.mxphone.net/wordpress/wp-content/uploads/2014/02/oppo-r1-013.jpg)
![OPPO R1 OPPO R1 review oppo review](http://www.mxphone.net/wordpress/wp-content/uploads/2014/02/oppo-r1-014.jpg)
![OPPO R1 OPPO R1 review oppo review](http://www.mxphone.net/wordpress/wp-content/uploads/2014/02/oppo-r1-016.jpg)
![OPPO R1 OPPO R1 review oppo review](http://www.mxphone.net/wordpress/wp-content/uploads/2014/02/oppo-r1-017.jpg)
![OPPO R1 OPPO R1 review oppo review](http://www.mxphone.net/wordpress/wp-content/uploads/2014/02/oppo-r1-024.jpg)
![OPPO R1 OPPO R1 review oppo review](http://www.mxphone.net/wordpress/wp-content/uploads/2014/02/oppo-r1-025.jpg)
![]() OPPO R1 by Bluecosmos (@ibluecosmos) เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาเราได้เห็นสุดยอด Smartphone จาก OPPO กันไปแล้วกับ OPPO N1 ที่มีจุดขายเรื่องของกล้องที่หมุนได้ ซึ่งผมได้รีวิวไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย แต่สำหรับ OPPO แล้ว ไม่ได้หยุดเพียงแค่ N1 เท่านั้น เพราะถึงวันนี้ทาง OPPO ได้เปิดตัว OPPO R1 รุ่นใหม่เข้ามาเติมตลาดอีกรุ่น โดยรุ่นนี้ถือเป็นอีกรุ่นที่ไม่ได้ใช้ Series ว่า Find แต่มีจุดเด่นในการออกแบบเครื่องก็คือเรื่องของการใช้วัสดุนั่นเอง ![]() OPPO R1 เปิดตัวพร้อมการออกแบบเครื่องที่เป็นกระจกทั้งหน้าและหลัง เน้นการออกแบบเฉียบบาง เห็นแล้วผมนึกย้อนกลับไปถึง OPPO Finder ที่เปิดตัวเน้นความบางสุดๆเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว แต่สำหรับ R1 แล้วมันมาพร้อมความสดใหม่ ด้วย Spec เครื่องที่สูงกว่า และหากมองที่ Line-up ของ OPPO ในตอนนี้ต้องบอกว่า R1 มาเติมเต็มช่วงกลางของ OPPO ที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว สัมผัสเครื่อง OPPO R1![]() ![]() วัสดุตัวเครื่องหลักๆคือกระจก ซึ่งเป็นกระจก Gorilla Glass 3 ทั้งหน้าและหลังที่กันรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี แต่หากจะบอกว่าไม่มีวันเป้นรอยเลยคงไม่ใช่ ก็คงต้องมีการติดฟิลม์ดูลและรักษากันไป ขอบข้างเครื่องเป็นอลูมิเนียมผิวด้านจับไม่ลื่นมือ โดยภาพรวมของวัสดุทั้งหมดทำให้ตัวเครื่องออกมาสวย แต่อีกนัยนึงก็คือความบอบบาง ทั้งส่วนของกระจกหรืออลูมิเนียมเอง เป็นรอยหนักๆได้ง่ายทั้งคู่ ![]() ![]() ด้านหน้าตัวเครื่องไม่มีตราของแบรนด์ตามรูปแบบของ OPPO สำหรับสีดำที่ผมได้มาต้องบอกว่าด้านหน้าเป็นสีดำเรียบเกือบทั้งแผง มีผิดแปลกไปก็คือส่วนของลำโพงสนทนาที่เป็นสีเงินตัดกับสีดำทั้งแผง ถัดไปข้างๆมีกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ส่วนมุมขวาบนมีไฟ Notification ดวงที่ 1 ซึ่งเป็นสีขาวสีเดียวเท่านั้น ตัดกับหน้าแผงสีดำดูแล้วสังเกตได้ง่าย สำหรับปุ่มควมคุมด้านล่างเป็นปุ่มสัมผัสทั้งหมด ตัวปุ่มเป็นแบบเรืองแสงเมื่อสัมผัส ซึ่งจากที่ทดสอบพบว่าตัวปุ่มสัมผัสได้ง่ายตอบสนองได้รวดเร็วดีครับ ![]() ![]() ![]() ![]() รอบๆตัวเครื่องมาพร้อมกับปุ่มมาตรฐานทั่วๆไป มีการจัดเรียงปุ่มปรับเสียงไว้ด้านขวาและปุ่ม Power ไว้ด้านซ้าย ตรงข้ามกับของ Samsung วางตำแหน่งได้พอดีมือจับ แต่เนื่องจากปุ่มมันค่อนข้างแบน ทำให้ต้องออกแรงกดเยอะหน่อย แต่ก็กดได้ไม่ยากเท่าไรนัก ![]() ![]() ด้านล่างของเครื่องมาพร้อมกับลำโพง Speaker ที่ถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่อง ถัดไปด้วยช่องเชื่อมต่อ microUSB และไมค์รับเสียงสนทนา ส่วนด้านบนตัวเครื่องมีช่องเชื่อมต่อหูฟัง 3.5 มม. พร้อมด้วยไมค์ตัดเสียงรบกวนรอบข้างอีก 1 ตัว ![]() ![]() ด้านหลังเป็นกระจกเรียบ ฝาหลังแกะออกไม่ได้ มีกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซลพร้อม LED Flash ลักษณะเรียบไปกับตัวเครื่อง ตัวเลนส์ไม่ได้นูนออกมาจากฝาหลัง ถัดไปข้างๆมีไฟ Notification ดวงที่ 2 คือมีทั้งด้านหน้าตัวเครื่องและด้านหลังเลย ทำให้เวลาวางเครื่องไม่ว่าจะท่าไหนก็เห็นไฟแจ้งเตือนหมด แต่น่าเสียดายที่มีไฟแค่สีเดียว แหล่งที่มา: www.mxphone.net
0 Comments
![]() LG G2 mini Review by Bluecosmos (@ibluecosmos) เทคโนโลยีส่วนใหญ่มักถูกทำให้เล็กลงเรื่อยๆ บางอย่างก็แค่ทำเล็กลงอย่างเดียว บางอย่างทำให้เล็กลงแถมยังเติมความสามารถหรือส่วนประกอบอื่นๆเข้ามาแทนเพื่อให้ได้ความสามารถที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นอย่างหลังกันซะมากกว่า อาจจะเพราะคนเราต้องการอะไรที่ดีกว่าเดิมเสมอก็เป็นได้ หากย้อนกลับมามองในวงการมือถือ เรามักจะเห็นหลายๆค่ายออกมาทำ Smartphone ในชื่อรุ่น Mini ซึ่งจะตามหลังจากตัวท็อปรุ่นแรกของตัวเอง และอย่างรุ่นที่ผมจะพูดถึงวันนี้มันก็สานต่อมาจาก LG G2 มันก็คือ LG G2 Mini นั่นเอง ![]() LG G2 Mini คงคอนเซปต์เดิมจาก LG G2 ทั้งการออกแบบตัวเครื่อง รวมถึงความสามารถหลักๆที่มีอยู่บน LG G2 ทำให้มันสามารถคงความเป็นรุ่นพี่ของมันได้เป็นอย่างดี ด้วยราคาที่ถูกลงเกือบครึ่งนึง อย่างไรก็ตามหากมาเจาะลงไปที่เรื่องของวัสดุและ Spec นั้น ก็ถูกลงทอนลงมาพอสมควร (ก็แน่ละราคาถูกกว่าจะดีเท่าตัวท็อปคงเป็นไปได้ยาก) หากเทียบรุ่นที่ราคาใกล้เคียงกัน ถือว่า LG G2 Mini เป็นรุ่นนึงที่น่าจับตามองไม่ใช่น้อย ด้านตัวเครื่อง![]() ![]() ![]() ![]() ![]() เรื่องหน่วยประมวลผลตัวเครื่องมาพร้อม CPU Qualcomm Snapdragon 400 ซึ่งเป็น Quad-Core 1.2GHz เป็นตัวใหม่ที่ทาง Qualcomm เปิดตัวมาและเอามาใช้กับรุ่นราคาไม่แพงนัก หากเทียบกันก็พอๆกับ Quad-Core จาก MediaTek นั่นแหละครับ สำหรับเรื่องของ RAM มีมาให้ 1GB ถือว่าใช้ได้กับเครื่องราคาระดับนี้ โดยจากที่ทดสอบใช้งานดูพบว่าใช้งานได้ไหลลื่นดีครับ ไม่มีค้าง และไม่มีปัญหาอะไรกับโปรแกรมหลักๆ ![]() การออกแบบตัวเครื่องอย่างที่กล่าวไปว่ามีการดึงเอาความเป็น G2 มาครบ ไม่ว่าจะเป็นปุ่มควบคุมที่ไปอยู่ด้านหลังทั้ง 3 ปุ่ม วางอยู่ใต้ตัวกล้อง โดยตัวปุ่มนั้นนูนออกมามากกว่าของ G2 นิดหน่อยและดูไม่ค่อยมีน้ำหนักในการกด ทำให้เวลาใส่กระเป๋ามักทำให้หน้าจอเปิดเองบ่อย หรือเข้าโหมดกล้องเองบ่อยไปหน่อย บางทีก็น่าหงุดหงิดนะครับเนี่ย แต่หากถือใช้งานต้องบอกว่าเป็นการวางตำแหน่งปุ่มที่ดีครับ ![]() ![]() สำหรับการออกแบบส่วนอื่นๆ ด้านหน้ายังคงเหมือนกับ LG G2 คือมีขอบหน้าจอที่บางและประหยัดพื้นที่ด้านหน้าค่อนข้างเยอะ ส่วนด้านบนไม่วายมี infrared มาให้ทำให้สามารถทำตัวเครื่องเป็น Smart Remote ได้ด้วย นอกนั้นก็มีช่องใส่หูฟัง 3.5 มม. และไมค์ตัดเสียงรบกวน ส่วนด้านล่างของเครื่องมีช่อง microUSB 2.0 รวมถึงไมค์และลำโพง ที่ออกแบบมาเหมือนกัน อารมณ์เดียวกับ iPhone ![]() ![]() วัสดุของเครื่องด้านหน้าไม่ต่างจาก LG G2 แต่ส่วนข้างเครื่องหรือด้านหลัง วัสดุดูดรอปจาก G2 แบบชัดเจน โดยเฉพาะฝาหลังที่กลายเป็นพลาสติกลายขรุขระลดราคาลงแบบชัดเจน แต่จับแล้วหากบอกว่าราคาต่ำหมื่นได้วัสดุแบบนี้ก็ไม่แปลกครับ ![]() ฝาหลังเองแกะออกมาได้ เปิดออกมาพบกับแบตเตอรี่แบบแกะได้ 2,440 mAh ใส่ได้ 2 SIM แบบ microSIM และแน่นอนมีช่องใส่ microSD card มาให้ด้วยเช่นกัน ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() เครือข่ายที่รองรับของ LG G2 Mini อันนี้ต้องบอกว่าไม่มีที่ติเพราะรองรับเครือข่าย 3G แบบ Quadband 850/900/1900/2100MHz ก็ถือว่ามาตรฐานโลกใช้ในไทยก็ไร้ปัญหา และแน่นอนเป็น 2 SIM แบบ microSIM ทั้งคู่ ซึ่งรองรับการใช้งาน 3G ทั้ง 2 ซิมเลยครับ สามารถเลือกค่า Default หลักในเมนูได้ เช่น พวกการโทรออก, SMS, Data ได้ ทำให้สามารถใช้งานได้ง่าย สำหรับการใช้งานก็ต้องบอกว่าเครื่องรับสัญญาณได้ดี ไร้ปัญหาครับ ![]() ![]() นอกจากนี้เรื่องการใช้งานเชื่อมต่ออื่นๆ เช่น Wi-Fi ก็ถือว่าทำได้ดี ไม่มีหลุดรวมถึงการรับสัญญาณเองก็ทำได้อยู่ในระดับมาตรฐานครับ อยู่บ้านชั้น 2 วางเร้าเตอร์ชั้น 1 ใช้งานได้ไร้กังวล ส่วนการเชื่อมต่ออื่นๆก็มีหลักๆมาให้ครบยกเว้น NFC ครับ แหล่งที่มา: www.mxphone.net OPPO Find 7a ![]() นอกจากกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ยังมีกล้องหน้า 5 ล้านพิกเซลให้เซลฟี่กันอีกด้วย ตัวกล้องหลักจะมีแฟลชเป็น Dual LED หรือแฟลชสองดวงนั่นเองครับ ฟีเจอร์ถ่ายก็มีมาให้เพียบ ทั้ง Panorama, HDR, Beautify, Slow shutter, HD picture, Audio photo, GIF และ RAW เรียกได้ว่าจัดเต็ม ![]() นอกจากนี้ก็มีฟังก์ชั่นตั้งเวลาถ่ายภาพ, ปรับไวท์บาลานซ์, เลือกซีน และโหมด Mirored selfie สำหรับกล้องหน้าด้วย อื่นๆ ก็ยังสามารถ เปิด/ปิด การบันทึกตำแหน่ง, เสียงชัตเตอร์ และแตะหน้าจอเพื่อจับภาพครับ รายละเอียดกล้อง OPPO Find 7a
![]() ![]() สำหรับฟีเจอร์เด่นที่ OPPO ชูดเป็นจุดขายหลักนั้นก็คือความสามารถในการขยายภาพถ่ายเป็นขนาด 50 ล้านพิกเซล!! ซึ่งมันก็คือโหมดถ่ายภาพแบบ HD picture นั่นเองครับ ซึ่งตัวซอฟท์แวร์จะบันทึกภาพเป็นขนาด 8160 x 6120 พิกเซลเลยทีเดียว แน่นอนว่าจะใช้เวลาในการบันทึกมากกว่าปกตินะครับ ขนาดไฟล์ก็อยู่ราวๆ 8MB ขึ้นไป นอกจากตัวขยายภาพ 50 ล้านพิกเซลแล้ว Dual LED Flash ของ OPPO Find 7a ยังไม่ธรรมดา มีโหมดแฟลชแบบปกติและ Fill light mode ที่เปิดเป็นไฟฉายส่อง แล้วโฟกัสภาพถ่ายเอาได้เลย เราสามารถถอยห่าง หรือปรับมุมแสงเงาได้สะดวกครับ ชอบมากอันนี้ เพราะปกติเปิดแฟลชถ่ายภาพจะสว่างจ้า แสงหนักเกินไปนั่นเอง ![]() ![]() ![]() ![]() การถ่ายภาพแบบ Panorama นั้นจะใช้วิธีถ่ายแบบปกติที่ต้องจับภาพแล้วแพนกล้องไปตามแนวขวางแล้วระบบจะจับภาพต่อๆ กันเองครับ เมื่อคิดว่าพอแล้วก็แค่ก่อนหยุดเท่านั้น ภาพมันจะออกมาเป็นแนวนี้ครับ แต่ละภาพต่อกันแบบเนียนๆ ควรระวังก็แค่ภาพมันเคลื่อนผ่านในแต่ละเฟรมนั่นเอง เน้นถ่ายพวกวิวนิ่งๆ จะดูดีมากๆ ครับ มาดูโหมดภาพทีเด็ด HD picture กันบ้าง นี่ล่ะที่ทาง OPPO ชูว่า Find 7a สามารถถ่ายภาพได้ความละเอียดสูงถึง 50 ล้านพิกเซล!! ซึ่งมันจะเหมาะสำหรับเอาไปปริ้นท์หรืองานอื่นๆ ได้ และมันก็ทำได้จริงๆ แต่เป็นตัวซอฟท์แวร์ที่ช่วยทำภาพขนาดใหญ่ครับ เซ็นเซอร์ของ OPPO Find 7a นั้นแค่ 13 ล้านพิกเซล แต่ใครอยากได้ภาพขนาดใหญ่คมชัดแบบขยายไม่แตกก็สามารถใช้โหมด HD picture ถ่ายเอาได้เลย เมื่อกดถ่ายจะบันทึกนานหน่อยเพราะขนาดไฟล์จะใหญ่ครับ คุณภาพของภาพนั้นจัดว่าดีเยี่ยมเลย ปกติถ่ายออกมาภาพก็คมชัด สีสันดูดีพอสมควร แต่โหมด HD picture ทำให้ภาพมีขนาดใหญ่กว่าเดิม เมื่อเอามาซูมดูบนคอมพิวเตอร์ค่อนข้างชัดมากเลยทีเดียว ซูมจนเห็นเส้นผมที่ติดบนหมอนได้เลย ![]() สำหรับกล้องหน้านั้นแจ่มใช่ย่อย เป็นเลนส์กล้อง 5 ล้านพิกเซล มาพร้อมฟีเจอร์ Beautify ที่ถ่ายหน้าเนียนเด้งแบบเกาหลีแท้ๆ โดยภาพยังมีความละเอียดระดับ 5 ล้านพิกเซลอีกด้วย (2592 x 1944 px) โดยตัวระบบจะเลือกเป็นค่าพื้นฐาน แต่สามารถปรับเปลี่ยนได้จากเมนูเลือกโหมดบนหน้าจอ ซึ่งมีโหมด Normal, Beautify และ GIF ครับ ![]() ![]() โหมด Beautify ระบบจะตรวจจับใบหน้าให้อัตโนมัติ และบริเวณใบหน้าก็จะถูกปรับให้เนียนเด้งเข้าขั้นเวอร์กันเลยทีเดียวล่ะ ต้องบอกว่าตัวระบบจับใบหน้าค่อนข้างฉลาดและตรวจจับได้ไวดีครับ สำหรับภาพที่ถ่ายมาแล้วคุณภาพก็ดีพอตัว แสงสีสัน ความคมชัดจัดว่าไม่แพ้กล้องหลังของหลายๆ รุ่นเลยด้วยซ้ำ ลองชมด้วยตาตนเองแล้วกันครับ อีกลูกเล่นที่น่าสนใจก็คือ GIF เป็นการถ่ายภาพเป็นภาพต่อๆ กันแสดงผลเป็นภาพเคลื่อนไหว โดยจับภาพได้ความยาวสูงสุด 20 ภาพครับ คุณภาพก็ตามที่เห็นระหว่างถ่ายการเคลื่อนบางทีมีมุมเปลี่ยนโฟกัสทำให้ภาพไม่ค่อยสมูทเท่าไหร่ครับ ![]() โดยรวมแล้วกล้องของ OPPO Find 7a ถือว่ายอดเยี่ยมดังที่ทาง OPPO คุยโวเอาไว้ว่ามันเจ๋ง เพราะภาพที่ถ่ายมานั้นมีคุณภาพสูง ทั้งแบบปกติ และแบบ HD picture ที่ถ่ายมาขนาด 50 ล้านพิกเซล เอาไว้ปริ้นท์หรืองานอื่นๆ ได้ดีเยี่ยม ![]() ส่วนฟีเจอร์ต่างๆ ก็จัดว่าครบครับ ทั้งตัว Panorama และ HDR ทำงานได้ถูกใจมากๆ ซึ่งโหมดถ่ายภาพปกติผมมองว่ามันถ่ายแล้วภาพดูสวยกว่าโหมด HD picture นะ เพียงแต่เก็บความละเอียดได้ไม่เท่าแค่นั้น อีกอย่างพวกฟีเจอร์ Beautify หากใครไม่ชอบเพราะมันสวยเด้งจนเกินไปก็เปลี่ยนโหมดเอาได้ไม่ได้บังคับครับ เพราะตัวโหมดหน้าเด้งเนี่ยมันปรับระดับไม่ได้เหมือนบน Samsung ที่เคยลองใช้มา ลองดูภาพตัวอย่างจากกล้อง 13 ล้านพิกเซล โหมดปกติกันส่งท้ายแล้วกัน วันนี้เราลองภาพนิ่งกันไปก่อน รอบหน้าค่อยมาลองวิดีโอกันนะ ^^ แหล่งที่มา: mxphone รีวิว Phantom 2 Vision เครื่องบินถ่ายวิดีโอขนาดจิ๋วที่จะช่วยเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ให้กับการเก็บภาพ5/20/2014 Review: Phantom 2 Vision เทคโนโลยีสมัยนี้ทำให้เราสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมๆ ไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่เว้นแม้แต่การถ่ายรูปหรือถ่ายวิดีโอที่นอกจากเราสามารถที่จะเก็บภาพที่ความละเอียดสูงๆ ได้แล้ว ในยุคนี้ที่ระบบไร้สายและเทคโนโลยีฝั่งซอฟต์แวร์ก้าวล้ำมากๆ เราก็สามารถที่จะเก็บภาพในมุมสูงหรือมุมกล้องเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระอีกด้วย วันนี้เราลองมาดูอุปกรณ์ที่จะช่วยในเรื่องดังกล่าวได้อย่างน่าสนใจ นั่นก็คือเจ้า Phantom 2 Vision นั่นเอง ต้องออกตัวก่อนว่าทีมงาน thumbsup เราจะไม่วิเคราะห์กันเรื่องตัวฮาร์ดแวร์ เพราะคุณผู้อ่านสามารถอ่านได้ตามเว็บบอร์ดทั่วไป หรือใน YouTube ก็มีคลิปให้ดูอยู่มากมาย หรือถ้าใครอยากดูเว็บคนขายในไทยอย่างเป็นทางการก็เข้าไปดูกันได้ที่ Phantom Thailand แต่วันนี้เราจะมาเขียนเล่าให้อ่านกันในมุมมองของคนใช้งานที่ไม่เคยเล่นมาก่อนเลย เผื่อผู้อ่านจะได้เห็นภาพชัดขึ้นครับ เริ่มแรกหลังจากที่เราได้รับตัวเครื่องจากทีมงาน Phantom Thailand มาทดลอง ก็ได้รับคำแนะนำให้ติดตั้งแอปพลิเคชั่น “dji-vision” ซึ่งมีให้ดาวน์โหลดทั้งบน iOS และ Android โดยเจ้าแอปพลิเคชั่นนี้จะเป็นตัวสั่งบังคับการหันกล้อง, เป็นตัวแสดงภาพสดๆ รวมถึงเป็นตัวสั่งงานการถ่ายรูปและวิดีโอ โดยมันจะต้องทำงานร่วมกับตัวรีโมทคอนโทรลหลักที่ทำหน้าที่บังคับตัวเครื่องบินทั้งทิศทางและการขึ้น-ลงของเครื่อง เมื่อเอาทั้งสมาร์ทโฟนและรีโมทคอนโทรลมารวมกันจึงจะเป็นตัวบังคับอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ในการทำงานนั้น ตัวบังคับหลักจะใช้สัญญาณวิทยุในการบังคับเครื่องบิน ในขณะที่สมาร์ทโฟนจะบังคับผ่านสัญญาณ WiFi ที่เชื่อมกับตัวรับส่งบนเครื่องบินอีกทีหนึ่ง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้สมาร์ทโฟนจับสัญญาณ WiFi ให้ได้ก่อน มิเช่นนั้นหากสัญญาณไม่ล็อคแล้ว การบังคับจะทุลักทุเลและเสี่ยงต่อการพาเครื่องบินไปสู่จุดจบมากๆ หลังจากเชื่อมสัญญาณทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เราจะสามารถมองเห็นภาพจากกล้องบนเครื่องบินผ่านตัวแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนได้ทันทีแบบ real-time และนี่จะเป็นตัวช่วยให้การบังคับง่ายขึ้นอย่างมาก พอจะเริ่มใช้งาน เราต้องดูให้ชัดว่าสัญญาณไฟบนตัวเครื่องเป็นสีเขียวหรือยัง ซึ่งนั่นหมายถึงสัญญาณถูกเชื่อมและล็อคไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว จากนั้นก็เริ่มนำเครื่องขึ้นได้ทันทีโดยโยกคันโยกทั้ง 2 ลงด้านล่างพร้อมๆ กัน แต่สิ่งที่สำคัญก็ต้อง เราต้องหันตัวเครื่องให้มุ่งไปยังทิศเดียวกับที่เรายืน ไม่หันหน้าเข้าหาคนบังคับเด็ดขาด เพราะทิศจะผิดเพี้ยนและมือใหม่อาจจะงงได้ง่ายๆ เมื่อเครื่องขึ้นแล้ว เราจะเห็นไฟด้านล่างที่คอยกระพริบทำให้เราเห็นได้ง่ายๆ ว่าเครื่องอยู่ที่ไหนและสัญญาณยังดีอยู่หรือไม่ จากนั้นก็บังคับขึ้นลง ซ้ายขวา ได้ตามใจปรารถนาเลยครับ และภาพต่อไปนี้คือผลลัพธ์ที่ได้จากการพา Phantom 2 Vision ไปเที่ยวหัวหินมา โดยพื้นที่ในภาพคือโรงแรม Amari ที่บังเอิญต้องมาเป็นฉากสำหรับการทดสอบแบบจำเป็น ซึ่งทีมงานเราต้องการถ่ายภาพเพื่อการทดสอบการใช้งาน Phantom เท่านั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์ในการถ่ายภาพบุคคลหรือสถานที่เพื่อเหตุผลอื่นใดทั้งสิ้นครับ ภาพจากกล้องบนตัวเครื่องก่อนการ take off ถ่ายย้อนมองตัวคนบังคับ โดยถ่ายริมทะเลแบบมีลมเบาๆ ตัวเครื่องบินก็ถือว่าค่อนข้างเสถียร ไม่เป๋ตามลม ส่งมันออกไปกลางทะเลเลย ระยะประมาณ 50 เมตรจากฝั่ง คนบังคับลุ้นระทึกมากเพราะเพิ่งเคยเล่นครั้งแรก ถ่ายย้อนกลับเข้าฝั่ง ซึ่งถ้าใช้ระบบอัตโนมัติ หากคนบังคับปล่อยมือ มันจะอยู่กับที่ สามารถปล่อยมือได้ ย้ายสถานที่ทดสอบมาภายในพื้นที่โรงแรม ได้ภาพสีสดใสมากๆ ลองลดระดับลงไปเพื่อเก็บภาพระยะใกล้ขึ้น คราวนี้ลองไต่ระดับขึ้นไปให้สูงกว่าตัวตึกเลย ทดลองใช้งานตอนกลางคืนดูบ้าง ซึ่งก็สามารถเก็บภาพมาได้ค่อนข้างดีแม้ในสภาพแสงน้อยมากๆ จากการทดลองเล่นมา สิ่งที่ได้สัมผัสก็คือ
น่าเสียดายที่รอบนี้เราไม่ได้ทดลองการถ่ายวิดีโอมาด้วยเพราะฝีมือคนบังคับยังอ่อนหัดนัก แต่คุณผู้อ่านที่สนใจลองดูภาพที่ได้ในคลิปนี้ได้ครับ และสำหรับใครที่สนใจก็ไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสเปค ความสามารถ และโปรโมชั่นกันในเว็บได้ที่ Phantom Thailand หลังจากนี้ไป ถ้าใครได้เล่นแล้วมีรูปหรือวิดีโอมุมกล้องสวยๆ ก็เอามาแบ่งกันดูบ้างนะครับ สรุปปิดท้าย ในแง่ของการเป็นอุปกรณ์ช่วยการถ่ายภาพและวิดีโอ มันช่วยให้เราสามารถเก็บภาพสวยๆ ในมุมที่น่าตื่นเต้นได้มากกว่าเดิม รวมทั้งช่วยเก็บในมุมที่ไม่มีวิธีอื่นในการเข้าถึงได้ด้วย ซึ่งนั่นจะทำให้เราสามารถเข้าถึงพื้นที่ใหม่ๆ ได้ดี และไม่ใช่แค่เพื่อความบันเทิงเท่านั้น ในแง่ของการรายงานข่าว, การเก็บข้อมูลพื้นที่, การรายงานสภาพอุบัติเหตุหรือภัยต่างๆ ก็อาจจะทำได้ดียิ่งขึ้นและคนทั่วๆ ไปก็สามารถเข้าถึงได้ นอกจากนั้น หากเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ก็สามารถที่จะยกระดับคุณภาพงานให้แตกต่างจากการถ่ายภาพเดิมๆ ได้ด้วย อย่างไรก็ดี ในการใช้งานอุปกรณ์ประเภทนี้ สิ่งที่ต้องระมัดระวังก็ได้แก่ความปลอดภัยทั้งของตัวผู้บังคับ ผู้ที่อยู่ใกล้เคียง รวมไปถึงการก่อให้เกิดอุบัติเหตุอื่นๆ ในพื้นที่ใช้งาน และที่สำคัญที่สุดไม่แพ้กันก็คือการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบถ่ายในพื้นที่หรือเวลาที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาได้เช่นกัน อย่างไรก็ต้องใช้วิจารณณาณในการใช้งานกันด้วยนะครับ ขอขอบคุณทีมงาน Phantom Thailand ที่ให้ยืมอุปกรณ์มาทดสอบ และขอขอบคุณโรงแรม Amari หัวหินที่ให้เราทดลองเล่นได้ช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะไล่ให้เราเก็บเพราะอาจจะรบกวนแขกท่านอื่นๆ (อันนี้ขอบคุณเผื่อไว้เฉยๆ ครับ ![]() แหล่งที่มา: thumbsup.in.th ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ ปากกา S Pen นับ ตั้งแต่ Samsung Galaxy Note 3 เปิดตัวเป็นต้นมา ปากกา S Pen เอง ก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ด้วยเช่นกัน โดยฟีเจอร์ใหม่นี้ เรียกว่า Air Command ซึ่งจะมีเมนูย่อย 5 แบบด้วยกัน ดังนี้ ![]() Action Memo เป็นฟีเจอร์ที่แปลงข้อความต่างๆ ที่เขียนด้วยลายมือ เช่น ถ้าหากเขียนเบอร์โทรศัพท์ลงไป ระบบจะมีเมนูขึ้นมาให้คลิกต่อว่า จะบันทึกเบอร์นี้ หรือโทรออก ซึ่งผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเพิ่มข้อมูลเองอีกรอบ ถือว่า สะดวกมากเลยทีเดียว ![]() สมุดภาพ หรือ Scrapbook เป็นการ capture ภาพที่ชอบและอยากจะเขียนไว้เป็นบันทึกส่วนตัว (ไม่จำเป็นต้อง capture ทั้งหน้าจอ) นอกจากนี้ ยังสามารถเก็บบันทึกเป็นหมวดหมู่ได้ ![]() Screen Write หรือการขีดเขียนบนหน้าจอ จะเป็นเหมือนกับการ capture หน้าจอครับ แล้วสามารถเขียนข้อความ วาดรูป หรืออะไรก็ได้ ลงไปบนภาพๆ นั้น ![]() และ บางที แอพพลิเคชั่น, รูปภาพ, เอกสาร หรือไฟล์ต่างๆ ที่มีในตัวเครื่อง ก็มีมากมายจนเราหาไม่เจอ ซัมซุง จึงได้เพิ่มแอพพลิเคชั่น ที่มีชื่อว่า S Finder สำหรับค้นหาแอพพลิเคชั่นที่ต้องการ ในระยะเวลาสั้นๆ ![]() Pen Window หรือหน้าต่างปากกา สำหรับเรียกแอพพลิเคชั่นแบบ shortcut ไม่ว่าจะเป็น เครื่องคิดเลข, นาฬิกา, YouTube, โทรศัพท์, รายชื่อ, ChatON หรือเบราว์เซอร์ ซึ่งสามารถเปิดใช้งานขณะอยู่หน้าใดก็ได้ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos : ทดสอบกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ![]() สำหรับ กล้องด้านหลังบน Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos ความละเอียดอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล ซึ่งลดลงจาก 13 ล้านพิกเซลบน Samsung Galaxy Note 3 นอกจากนี้ ลูกเล่นการใช้งานยังน้อยกว่า โดยโหมดการถ่ายรูป มีให้เลือกทั้งแบบ อัตโนมัติ, หน้าสวย, รูปภาพที่ดีที่สุด, ถ่ายต่อเนื่อง, Best Face, เสียงและช็อต, HDR, Panorama, กีฬา และโหมดถ่ายภาพกลางคืน มาชมตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องของ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos กันครับ (คลิกที่ภาพเพื่อชมภาพขนาดเต็ม แบบไม่ผ่านการตกแต่งใดๆ)
Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos : บทสรุปการใช้งาน ![]() สำหรับ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos นั้น ถึงแม้ว่า สเปคจะสู้ Samsung Galaxy Note 3 ไม่ได้ แต่ถ้าพูดถึงแง่ของ การพกพา จะสะดวกกว่ามาก เนื่องจากตัวเครื่องมีขนาดที่เล็กกว่า อีกทั้งฟีเจอร์การใช้งาน ก็ไม่แพ้ตัวหลักอย่าง Samsung Galaxy Note 3 อีกด้วย ซึ่งถ้าหากพิจารณาในเชิงลึก จะเห็นว่า สเปคเพียงแค่นี้ บางครั้งก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้วครับ เราไม่จำเป็นต้องซื้อ มือถือสเปคแรงๆ เพื่อนำมาใช้งานแค่ไม่กี่อย่าง แต่เราควรจะเลือกซื้อ มือถือ ที่เหมาะกับการใช้งานของเราจะดีกว่า นอกจากนี้ จุดเด่นของ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos ที่ Galaxy Note 3 ไม่มี ก็คือ รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด นั่นเอง ซึ่งสะดวกมากสำหรับผู้ที่มีเบอร์โทรศัพท์หลายเบอร์ แต่ไม่อยากจะพก สมาร์ทโฟน หลายเครื่อง สำหรับราคาของ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos รุ่นนี้ อยู่ที่ 17,800 บาท มี 3 สีให้เลือก ได้แก่ สีดำ, สีขาว และสีเขียว ผู้ที่สนใจ สามารถทดลองใช้งานกันได้ ที่ ซัมซุง ช็อป หรือตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้านครับ จุดเด่นของ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos • รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด • รองรับเครือข่าย 3G ทุกคลื่นความถี่ (850/900/1900/2100 MHz) • จอแสดงผลกว้าง 5.5 นิ้ว แบบ Super AMOLED Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 720 x 1280 พิกเซล (267 ppi) • หน่วยประมวลผลแบบ Quad-Core Processor ความเร็ว 1.6 GHz • หน่วยประมวลผลภาพ Adreno 305 GPU • หน่วยความจำ RAM 2 GB • หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง ขนาด 16 GB รองรับ microSD card สูงสุด 64 GB • กล้องด้านหน้า ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล • กล้องด้านหลัง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อม LED Flash • รัน Android 4.3 Jelly Bean • แบตเตอรี่แบบ Li-Ion ขนาด 3100 mAh รองรับการใช้งานตลอดทั้งวัน • มีปากกา S Pen ในตัว • ฝาด้านหลัง ทำมาจากหนังเทียม ให้ดีไซน์ดูหรูหรา และมีระดับ จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม • ไม่รองรับ NFC • ไม่รองรับการใช้งานกับเครือข่าย 4G LTE ข้อควรทราบ: “เครื่อง Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos ที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้ เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทาง ซัมซุง เท่านั้น ยังไม่ใช่เครื่องที่วางจำหน่ายจริงแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นตัวเครื่อง หรือฟังก์ชันการทำงานบางอย่างอาจจะยังไม่สมบูรณ์ 100% เหมือนกับเครื่องที่วางจำหน่ายจริง” บทความรีวิวโดย: techmoblog.com รีวิว Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos : อินเทอร์เฟส และการใช้งานเบื้องต้น![]() Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 4.3 (Jelly Bean) และอินเทอร์เฟสแบบ TouchWiz แน่นอนว่า ผู้ที่เคยใช้ มือถือซัมซุง มาก่อน คงจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ![]() สำหรับ หน้า Homescreen นั้น ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนวอลเปเปอร์, เลือกแอพพลิเคชั่นที่ใช้งานบ่อย มาสร้าง shortcut ไว้ด้านหน้า หรือปรับเปลี่ยน Widget ได้ตามใจ โดย Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos รองรับ Homescreen สูงสุด 7 หน้าด้วยกัน ![]() Notification Center แหล่งแจ้งเตือนการใช้งานต่างๆ ทั้งข้อความ, อีเมล หรือการอัพเดทแอพพลิเคชั่น นอกจากนี้ ยังมีเมนูลัด สำหรับตั้งค่าการใช้งานต่างๆ เช่น Wi-Fi, GPS, เสียง หรือ Bluetooth เป็นต้น ไม่เพียงเท่านั้น ยังสามารถเลือกใช้งาน ซิมการ์ดที่ 1 หรือ 2 ได้จากส่วนนี้เช่นกัน ![]() การ กดปุ่ม Home ค้างไว้ เป็นการเข้าสู่เมนู Multitasking นั่นเอง ผู้ใช้สามารถเลือกเพื่อเข้าใช้งานแอพพลิเคชั่นที่เคยเปิดใช้งานมาแล้วก่อน หน้านั้น หรือลบออกเมื่อไม่ใช้งาน เพื่อเป็นการเพิ่ม RAM ให้กับตัวเครื่องด้วย ![]() ส่วน การกดปุ่ม Home 2 ครั้ง จะเข้าสู่เมนู S Voice ครับ ซึ่งการทำงานของ S Voice คล้ายกับ Siri บน iOS นั่นเอง โดยเป็นการสอบถามข้อมูลทั่วไป เช่น สภาพอากาศ, การนัดหมาย และอื่นๆ ![]() มา ดูกันที่หน้าแอพพลิเคชั่นรวมกันบ้าง จะเห็นได้ว่า Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos รุ่นนี้ มีแอพพลิเคชั่นพื้นฐาน มาให้อย่างครบครันทีเดียว ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดเพิ่มเติมครับ ส่วน Widget ก็มีให้เลือกใช้หลากหลายเช่นกัน ![]() สำหรับ ฟังก์ชัน Multi-window ก็สามารถใช้งานบน Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos ได้เช่นกันครับ เนื่องจากหน้าจอมีขนาดใหญ่นั่นเอง โดยสามารถเปิดใช้งาน แอพพลิเคชั่น 2 แอพฯ ได้ในหน้าจอเดียว เช่น หน้าจอบน ดู YouTube ส่วนหน้าจอล่าง เช็คอีเมล เป็นต้น ![]() ใน ส่วนของหน้าการใช้งานโทรศัพท์นั้น จะเห็นได้ว่า ปุ่มโทรออก จะมีให้เลือกว่า จะโทรออกจากซิมการ์ดที่ 1 หรือ 2 นอกจากนี้ รายชื่อผู้ติดต่อ ยังระบุว่า เป็นรายชื่อที่อยู่ในซิมการ์ดที่ 1 หรือ 2 อีกด้วย ![]() บน Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos นั้น มีเบราว์เซอร์ให้เลือกใช้งาน 2 แบบด้วยกัน นั่นก็คือ Android Browser และ Chrome แต่ถ้าหากยังไม่ถูกใจ สามารถดาวน์โหลดเบราว์เซอร์เพิ่มเติมได้ ที่ Play Store ![]() Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos นั้นมาพร้อมกับระบบ GPS และ A-GPS ในตัว สามารถใช้งานร่วมกับแอพพลิเคชั่นประเภทการนำทางได้ทันที รวมถึงแอพพลิเคชั่น ในเครื่องอย่าง Google Maps ด้วยเช่นเดียวกัน ![]() S Health แอพพลิเคชั่น ที่จะเข้ามาช่วยดูแลและจัดการสุขภาพของผู้ใช้งาน ซึ่งสามารถตั้งเป้าหมาย ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพได้อย่างง่ายดาย โดยเน้นการออกกำลังกายเป็นหลักนั่นเอง ![]() S Note เวอร์ชันปรับปรุงใหม่ สามารถใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น นอกเหนือจากการจดโน้ตแบบปกติแล้ว S Note ยังสามารถสร้างกราฟแบบง่ายๆ ทั้งกราฟแท่ง, กราฟเส้น หรือ Pie graph โดยใช้ควบคู่กับปากกา S Pen เรียกได้ว่า สะดวกมากเลยทีเดียว ![]() ส่วน แอพพลิเคชั่นพื้นฐานอย่าง เครื่องคิดเลข และเครื่องบันทึกเสียง ก็มีให้ใช้งานด้วยเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดเพิ่มเติมแต่อย่างใด ![]() นอก จากนี้ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos ยังมีแอพพลิเคชั่นที่น่าสนใจอีกมากมาย ซึ่งรวมอยู่ในแอพพลิเคชั่น Samsung, Galaxy Plus และ Google โดยผู้ใช้สามารถลากออกมาจากโฟลเดอร์ดังกล่าวได้ ![]() และถ้าหากแอพพลิเคชั่นที่ให้มาในตัวเครื่อง ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ สามารถดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้ที่ Play Store ครับ ![]() มา ดูการทดสอบ Benchmark บน Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos กันบ้าง โดยผลการทดสอบด้วยโปรแกรม Quadrant วัดความเร็วในการทำงานของ CPU และกราฟฟิค อยู่ที่ 11349 คะแนน ส่วน AnTuTu ทดสอบ CPU, 2D & 3D graphics, SD card และ Database อยู่ที่ 21406 คะแนน และ มัลติทัช รองรับที่ 10 จุดครับ บทความรีวิวโดย: techmoblog.com [รีวิว] Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos สัมผัสประสบการณ์ด้านการใช้งานแบบเดียวกับ Note 3 ในราคาไม่ถึง 20,000 บาท ถ้าหากพูดถึง สมาร์ทโฟนซัมซุง ในตระกูล Galaxy Note ปีนี้ นับว่า เป็นปีแรกที่ซัมซุง แยกไลน์ Galaxy Note 3 ออกมาเป็นอีกรุ่น และจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่า พร้อมกับปรับลดสเปคลง ซึ่งสมาร์ทโฟนที่ทีมงานจะนำมารีวิวให้ชมกันในวันนี้ ก็คือ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos นั่นเอง ![]() แม้ว่าสเปคของ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos จะด้อยกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นพี่อย่าง Samsung Galaxy Note 3 ไปบ้าง แต่โดยภาพรวมแล้ว ถือว่า ไม่ได้แย่แต่อย่างใดครับ เพราะนอกจากจะคงคอนเซปท์ สมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่แล้ว ในส่วนของหน่วยประมวลผลของ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos ก็ยังเป็นแบบ Quad-Core Processor ความเร็ว 1.6 GHz ซึ่งถือว่า ตอบสนองต่อการใช้งานได้ดีเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีปากกา S Pen ในตัว ไม่จำเป็นต้องหาซื้อเพิ่มแต่อย่างใด มาดูกันครับว่า Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos รุ่นนี้ จะแตกต่างจาก Samsung Galaxy Note 3 มากน้อยแค่ไหน กับบทความ รีวิว Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos โดยทีมงาน techmoblog ครับ สเปค Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos - จอแสดงผลกว้าง 5.5 นิ้ว แบบ Super AMOLED Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 720 x 1280 พิกเซล (267 ppi) - หน่วยประมวลผลแบบ Quad-Core Processor ความเร็ว 1.6 GHz - หน่วยประมวลผลภาพ Adreno 305 GPU - หน่วยความจำ RAM 2 GB - หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง ขนาด 16 GB รองรับ microSD card สูงสุด 64 GB - กล้องด้านหน้า ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล - กล้องด้านหลัง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อม LED Flash - รัน Android 4.3 Jelly Bean - แบตเตอรี่แบบ Li-Ion 3100 mAh - รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด - ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 17,800 บาท รีวิว Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos : ดีไซน์ และการออกแบบ ![]() Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos มาพร้อมกับจอแสดงผลกว้าง 5.5 นิ้ว แบบ Super AMOLED Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 720 x 1280 พิกเซล (267 ppi) ซึ่งดีไซน์โดยรวม จะเห็นว่า เหมือนกับ Samsung Galaxy Note 3 แต่ตัวเครื่องมีขนาดเล็กกว่า โดย Samsung Galaxy Note 3 มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 5.7 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล (Full HD) ![]() ด้านบนของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย ลำโพงสนทนา, Proximity Sensor สำหรับการปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา, Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้ และกล้องด้านหน้า ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ![]() ด้านล่างของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย ปุ่มควบคุมการทำงาน 3 ปุ่มหลัก ได้แก่ ปุ่ม Home ซึ่งเป็นปุ่มแบบ Physical button ส่วน 2 ปุ่มซ้ายขวา คือปุ่ม Menu และปุ่ม Back ซึ่งเป็นปุ่มแบบสัมผัส และสามารถใช้ปากกา S Pen แตะสัมผัสได้ด้วยเช่นกัน ![]() ด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิด หรือล็อคหน้าจอ ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่อง เป็นปุ่มปรับระดับเสียง ![]() ด้านบนของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ไมโครโฟนตัวที่สอง สำหรับตัดเสียงรบกวนรอบข้าง และช่องหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มิลลิเมตร ส่วนด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ไมโครโฟนหลักสำหรับสนทนา, พอร์ต microUSB, ลำโพงเสียง และช่องสำหรับเก็บปากกา S Pen ![]() ![]() สำหรับฝาหลังของ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos นั้น ทำมาจากหนังเทียม แบบเดียวกับ Samsung Galaxy Note 3 ครับ ซึ่งกล้องด้านหลัง มีความละเอียดอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล พร้อม LED Flash ![]() ![]() สำหรับปากกา S Pen บน Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos นั้น เรียกได้ว่า มีลูกเล่นมากมายเลยทีเดียว แต่จะมีฟีเจอร์เด่นอะไรบ้างนั้น ชมกันต่อได้ในรีวิวส่วนถัดไปครับ ![]() ![]() ความแตกต่างระหว่าง Samsung Galaxy Note 3 และ Samsung Galaxy Note 3 Neo Duos ก็คือ รุ่นนี้รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดนั่นเอง และใช้ซิมการ์ดแบบ microSIM ทั้ง 2 ซิมครับ ส่วนแบตเตอรี่ปรับความจุลงเล็กน้อย จากเดิม 3200 mAh เหลือ 3100 mAh ซึ่งรองรับการใช้งานได้นานพอสมควรเช่นกัน บทความรีวิวโดย: techmoblog.com [รีวิว] Samsung Galaxy S Duos 2 สมาร์ทโฟน 2 ซิมการ์ด รูปทรงกะทัดรัด ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ในราคาไม่เกิน 5,000 บาท ปัจจุบัน สมาร์ทโฟนตั้งแต่ระดับล่าง ไปจนถึงระดับกลาง ที่รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด มีให้เลือกซื้อกันอย่างมากมาย ด้วยสเปค และราคาที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่หลักพันต้นๆ ไปจนถึงหลักหมื่นก็มี ซึ่งในวันนี้จะมาแนะนำ สมาร์ทโฟน 2 ซิมการ์ด ที่น่าสนใจอีก 1 รุ่น นั่นก็คือ Samsung Galaxy S Duos 2 นั่นเอง ![]() โดย Samsung Galaxy S Duos 2 รุ่นนี้ เป็นมือถือที่ต่อยอดมาจาก Samsung Galaxy S Duos รุ่นแรกนั่นเองครับ ซึ่งมีดีไซน์เหมือนเดิม แต่ยกเครื่องภายในใหม่ ให้แรงขึ้น พร้อมกับราคาที่ถูกกว่า เพียง 4,900 บาทเท่านั้น มาดูกันครับว่า สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ จะมีความน่าสนใจอย่างไร คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือไม่ สเปค Samsung Galaxy S Duos 2 - จอแสดงผลกว้าง 4.0 นิ้ว แบบ TFT Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 480 x 800 พิกเซล (233 ppi) - หน่วยประมวลผลแบบ Dual-Core Cortex-A9 Processor (BCM 28145/28155 chipset) ความเร็ว 1.2 GHz - หน่วยประมวลผลภาพ Broadcom VideoCore IV GPU - หน่วยความจำ RAM ขนาด 768 MB - หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง ขนาด 4 GB รองรับ microSD card สูงสุด 64 GB - รันระบบปฏิบัติการ Android 4.2 (Jelly Bean) - แบตเตอรี่ Li-Ion 1500 mAh - กล้องด้านหน้า ความละเอียดระดับ VGA - กล้องด้านหลัง ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อม LED Flash - รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด Samsung Galaxy S Duos 2 : ดีไซน์ และการออกแบบ ![]() Samsung Galaxy S Duos 2 มาพร้อมหน้าจอแสดงผลกว้าง 4.0 นิ้ว แบบ TFT Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 480 x 800 พิกเซล (233 ppi) ซึ่งมีขนาดที่ใกล้เคียงกับ iPhone 5S ครับ น้ำหนักเบา และพกพาได้สะดวก ![]() ด้านบนของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย กล้องด้านหน้า ความละเอียดระดับ VGA, เซ็นเซอร์ และลำโพงสำหรับสนทนา ![]() ด้านล่างของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย ปุ่มควบคุมการทำงานทั้งหมด 3 ปุ่มด้วยกัน โดย 2 ปุ่มซ้ายและขวา เป็นปุ่มเมนู และปุ่มย้อนกลับ ซึ่งเป็นแบบสัมผัส ส่วนตรงกลาง คือปุ่ม Home ![]() ด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดเครื่อง หรือล็อคหน้าจอแสดงผล ถัดมา เป็นช่องสำหรับใส่ microSD card มีฝาปิด รองรับสูงสุด 64 GB ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ปุ่มปรับระดับเสียง และรูคล้องสายโทรศัพท์ ส่วนตรงฝาปิดนั้น เป็นที่สำหรับแกะฝาด้านหลังครับ ![]() ด้านบนของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร ส่วนด้านล่าง ประกอบด้วย ไมโครโฟน และพอร์ต microUSB สำหรับเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่อถ่ายโอนข้อมูล หรือชาร์จแบตเตอรี่ ![]() ![]() ฝาด้านหลังของ Samsung Galaxy S Duos 2 เป็นพลาสติกมีลวดลาย ประกอบด้วย ลำโพง, กล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อม LED Flash ![]() ![]() ![]() Samsung Galaxy S Duos 2 รุ่นนี้ รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด และรองรับซิมการ์ดแบบ miniSIM ทั้ง 2 ซิม ส่วนแบตเตอรี่ มีความจุอยู่ที่ 1500 mAh โดย Samsung Galaxy S Duos 2 รุ่นที่นำมาทดสอบนี้ เป็นโมเดล S7582 ซึ่งรองรับเครือข่าย 3G คลื่นความถี่ 900/2100 MHz ส่วนโมเดล S7582L จะรองรับเครือข่าย 3G คลื่นความถี่ 850/2100 MHz ฉะนั้น ใช้เครือข่ายไหนอยู่ อย่าลืมตรวจสอบโมเดลที่จะซื้อให้ถูกต้องด้วยนะครับ Samsung Galaxy S Duos 2 : อินเทอร์เฟส และการใช้งานเบื้องต้น ![]() Samsung Galaxy S Duos 2 มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 4.2 (Jelly Bean) ตั้งแต่แกะกล่อง และ TouchWiz UI ฉะนั้น ผู้ที่เคยใช้ มือถือซัมซุง มาก่อน คงจะคุ้นเคยกับหน้าตานี้กันดีอยู่แล้ว ซึ่งการปลดล็อค ทำได้ด้วยการเลื่อนหน้าจอเพื่อทำการปลดล็อค ส่วนวอลเปเปอร์ ทั้งในหน้า Lockscreen และ Homescreen สามารถเปลี่ยนเองได้ตามใจชอบครับ ![]() สำหรับหน้า Homescreen นั้น ผู้ใช้สามารถเลือกแอพพลิเคชั่น ที่ใช้งานบ่อย มาสร้างเป็น shortcut ได้เช่นกัน รวมไปถึง Widget สามารถเลือกใส่ได้ตามใจชอบครับ ซึ่งหน้า Homescreen สามารถเพิ่มได้สูงสุด 7 หน้า ![]() Notification Center แหล่งรวมข้อความแจ้งเตือนต่างๆ ทั้งอีเมล, SMS และอื่นๆ อีกมากมาย ไม่เพียงเท่านั้น ยังสามารถปรับความสว่างของหน้าจอได้จากส่วนนี้ พร้อมทั้งกับเลือกซิมการ์ดที่ต้องการ นอกจากนี้ ยังมีเมนูลัด สำหรับตั้งค่าการใช้งานต่างๆ เช่น Wi-Fi, GPS, เสียง หรือ Bluetooth เป็นต้น โดยการเปิดใช้งาน Notification Center สามารถนำได้ด้วยการ ลากจากด้านบนหน้าจอ มาด้านล่างครับ ![]() การกดปุ่ม Home ค้างไว้ เป็นการเข้าสู่เมนู Multitasking นั่นเอง ผู้ใช้สามารถเลือกเพื่อเข้าใช้งานแอพพลิเคชั่นที่เคยเปิดใช้งานมาแล้วก่อน หน้านั้น หรือลบออกเมื่อไม่ใช้งาน เพื่อเป็นการเพิ่ม RAM ให้กับตัวเครื่องด้วย โดย Samsung Galaxy S Duos 2 นั้น มีหน่วยความจำ RAM อยู่ที่ 768 MB ![]() มากันที่ แอพพลิเคชั่นรวม กันบ้างครับ โดยในส่วนนี้ ประกอบด้วย เมนูย่อยๆ ทั้งหมด 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ Application, Widget และ แอพพลิเคชั่นที่ดาวน์โหลดมา ![]() สำหรับในส่วนของ การใช้งานโทรศัพท์ แป้นแสดงปุ่มกดชัดเจนดี นอกจากนี้ สามารถเลือกได้ว่า จะโทรออกจากซิมการ์ดที่ 1 หรือ ซิมการ์ดที่ 2 ![]() เห็นเครื่องจิ๋วๆ แบบนี้ แต่ Samsung Galaxy S Duos 2 ก็มีแอพพลิเคชั่นพื้นฐานมาให้ใช้งานอย่างครบครัน ทั้งเครื่องคิดเลข และเครื่องบันทึกเสียง ![]() ส่วนวิทยุ FM ก็ขาดไม่ได้เช่นกัน ซึ่งก่อนใช้งาน จะต้องเสียบหูฟังเสียก่อนครับ ![]() อยากจะจดโน้ต แต่ไม่มีกระดาษ ทำอย่างไรดี? เปิดแอพพลิเคชั่น สมุดบันทึก ขึ้นมาใช้งานได้เลย รองรับทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษครับ ![]() แอพฯ ไหนขาด แอพฯ ไหนไม่มี อยากเล่นเกมสนุกๆ เกมฮิตๆ เปิด Play Store ขึ้นมา ตอบโจทย์ได้ครบ ซึ่งจะต้องล็อคอินก่อนเข้าใช้งานทุกครั้ง ![]() ไปไหนไม่มีหลงทาง กับ Google Maps ที่นอกจากจะบอกแผนที่อย่างละเอียดยิบแล้ว ยังสามารถใช้เป็น เครื่องมือนำทางได้อีกด้วย ![]() ลองมาทดสอบการใช้งาน เบราว์เซอร์ กันบ้างครับ โดยบน Samsung Galaxy S Duos 2 นั้น มีเบราว์เซอร์ให้เลือกใช้งาน 2 แบบด้วยกัน นั่นก็คือ Android Browser และ Chrome แต่ถ้าหากยังไม่ถูกใจ สามารถดาวน์โหลดเบราว์เซอร์เพิ่มเติมได้ ที่ Play Store ![]() นึกไม่ออก จะดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นอะไรมาใช้งานดี เปิด Samsung Apps มีคำตอบให้ครบทุกหมวด นอกจากนี้ ยังมีแอพฯ ที่ถูกคัดสรรโดยซัมซุง มาให้เลือกดาวน์โหลดอีกด้วย ![]() มาทดสอบ Benchmark บน Samsung Galaxy S Duos 2 กันเสียหน่อยครับ โดยผลการทดสอบด้วยโปรแกรม Quadrant วัดความเร็วในการทำงานของ CPU และกราฟฟิค อยู่ที่ 3680 คะแนน, AnTuTu ทดสอบ CPU, 2D & 3D graphics, SD card และ Database อยู่ที่ 12243 คะแนน ส่วนมัลติทัช รองรับที่ 2 จุดครับ Samsung Galaxy S Duos 2 : ทดสอบใช้งานกล้องด้านหลัง ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ![]() สำหรับความละเอียดของกล้องด้านหลัง บน Samsung Galaxy S Duos 2 รุ่นนี้ อยู่ที่ 5 ล้านพิกเซล พร้อม LED Flash ครับ แม้ว่าตัวเครื่องจะเป็นระบบ ออโต้โฟกัส แต่ผู้ใช้จำเป็นต้องเลือกจุดโฟกัสเอง ด้วยการสัมผัสไปตรงๆ ที่หน้าจอ ซึ่งโฟกัสได้ช้าเล็กน้อย ส่วนลูกเล่นของแอพพลิเคชั่น กล้องถ่ายรูป บน Samsung Galaxy S Duos 2 นั้น จะมีหมวดการถ่ายภาพให้เลือก 7 แบบ ได้แก่ อัตโนมัติ, รูปภาพที่ดีที่สุด, ถ่ายต่อเนื่อง, เสียงและช็อต, พาโนรามา, กีฬา และการถ่ายภาพกลางคืน นอกจากนี้ ยังสามารถปรับการใช้งานในส่วนอื่นๆ ได้อีก เช่น ตั้งเวลาถ่ายภาพ, เปิด-ปิดไฟแฟลช เป็นต้น มาดูตัวอย่างภาพจากกล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซล บน Samsung Galaxy S Duos 2 กันครับ (คลิกที่รูป เพื่อชมภาพขนาดจริง แบบไม่ผ่านการตกแต่งใดๆ)
Samsung Galaxy S Duos 2 : สรุปการใช้งาน ![]() สำหรับตลาดมือถือ 2 ซิมการ์ดนั้น ปัจจุบันถือว่า มีการแข่งขันค่อนข้างสูง และมีให้เลือกซื้อกันอย่างมากมาย โดย Samsung Galaxy S Duos 2 นั้น ถือว่า เป็นอีกรุ่นหนึ่งที่น่าสนใจครับ เพราะนอกจากจะรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดแล้ว ยังมีขนาดที่กะทัดรัด, พกพาได้สะดวก และราคาที่ไม่แพงจนเกินไปอีกด้วย ซึ่ง Samsung Galaxy S Duos 2 มีราคาค่าตัวอยู่ที่ 4,900 บาทเท่านั้น นอกจากนี้ สเปคยังรองรับการใช้งานทั่วๆ ไป เน้นการใช้งานด้านโทรศัพท์เป็นหลัก ท่องอินเทอร์เน็ต หรือแชทผ่านโปรแกรม แต่คงจะไม่เหมาะกับการใช้งานด้านการเล่นเกมเท่าใดนัก เนื่องจาก RAM ที่ให้มานั้น ค่อนข้างน้อยนั่นเอง สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถทดลองใช้งาน Samsung Galaxy S Duos 2 กันก่อนได้ ที่ซัมซุง ช้อป หรือตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้านครับ จุดเด่นของ Samsung Galaxy S Duos 2 • ตัวเครื่องมีขนาดกะทัดรัด, น้ำหนักเบา และพกพาสะดวก • จอแสดงผลกว้าง 4.0 นิ้ว แบบ TFT Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 480 x 800 พิกเซล (233 ppi) • หน่วยประมวลผลแบบ Dual-Core Cortex-A9 Processor (BCM 28145/28155 chipset) ความเร็ว 1.2 GHz • หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง ขนาด 4 GB รองรับ microSD card สูงสุด 64 GB • รัน Android 4.2 (Jelly Bean) ตั้งแต่แกะกล่อง • มีวิทยุ FM ในตัว • กล้องด้านหน้า ความละเอียดระดับ VGA • กล้องด้านหลัง ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อม LED Flash • รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด • รองรับเครือข่าย 3G (แต่จะต้องตรวจสอบโมเดลกับเครือข่ายก่อนซื้อทุกครั้ง) จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม • หน่วยความจำ RAM น้อยเกินไป ไม่เพียงพอต่อการเปิดใช้งานหลายแอพพลิเคชั่นพร้อมกัน • แม้ตัวกล้องจะมาพร้อมกับระบบออโต้โฟกัส แต่ผู้ใช้จำเป็นต้องเลือกจุดโฟกัสเอง นอกจากนี้ ระบบโฟกัสยังหน่วงเล็กน้อย ข้อควรทราบ: “เครื่อง Samsung Galaxy S Duos 2 ที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้ เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทาง ซัมซุง เท่านั้น ยังไม่ใช่เครื่องที่วางจำหน่ายจริงแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นตัวเครื่อง หรือฟังก์ชันการทำงานบางอย่างอาจจะยังไม่สมบูรณ์ 100% เหมือนกับเครื่องที่วางจำหน่ายจริง” บทความรีวิวโดย: techmoblog.com Samsung Galaxy S5 - ไม่เด่นแต่สมดุล ลดลูกเล่นไร้สาระ เพิ่มประโยชน์ที่ใช้ได้จริง Samsung Galaxy S5 - ผมได้เครื่องจริงของ Galaxy S5 รุ่นก่อนวางจำหน่าย (ซัมซุงไทยบอกว่าเฟิร์มแวร์สมบูรณ์ 95%) มาทดสอบเป็นเวลา 2-3 วัน มาดูรีวิวกันดีกว่าว่ามันสมราคาคุยแค่ไหน และสมศักดิ์ศรี "มือถือเรือธง" ของค่ายมือถือที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพียงใด (หมายเหตุ: ภาพเยอะมากนะครับ โปรดระวัง data package ของท่าน) ![]() รูปลักษณ์ภายนอก: ระดับเดียวกับ Note 3Galaxy S4 โดนวิจารณ์เยอะว่าหน้าตาดูเป็นพลาสติกราคาถูก ไม่สมกับเป็นมือถือระดับเรือธง ซัมซุงแก้ปัญหาเรื่องการออกแบบใน Note 3 โดยใช้ลายเลียนแบบหนัง พอมาถึงยุคของ S5 ก็ยังคงรูปลักษณ์โดยรวมแบบเดิม แต่เปลี่ยนลายฝาหลังเป็นจุดแทน (บางคนบอกเหมือนพลาสเตอร์ยา บางคนบอกคล้าย Nexus 7 2012)อารมณ์รวมๆ ของการใช้งานรู้สึกว่าเป็น "มือถือซัมซุงอีกตัวหนึ่ง" ที่เห็นหน้าตาก็รู้ทันทีว่าเป็นซัมซุง (แต่บอกได้ยากว่ารุ่นใด โดยเฉพาะถ้าวางหงายจอขึ้น) แต่ถ้าไม่นับเรื่องความรู้สึกหรูหราแล้ว มันถือเป็นมือถือที่ดีตัวหนึ่ง ขนาดกระชับมือ เบา ถอดฝาหลังได้ เปลี่ยนแบตได้ ฯลฯ ตามมาตรฐานทั่วไปฝาหลังเป็นจุดแบบบุ๋มๆ ลงไปครับ จับแล้วก็หนึบๆ แปลกๆ ดี ถามว่ารู้สึกอย่างไร คำตอบที่นึกออกคงเป็นคำว่า "แปลก" มากกว่าจะฟันธงว่าดีหรือแย่ไปตรงๆ นะขอบรอบตัวเครื่องคล้ายกับ Note 3 คือเป็นขอบสีเงินมีลายเป็นชั้นๆ เล็กน้อย ปุ่มรอบตัวเครื่องยึดตามมาตรฐานซัมซุงทุกประการ (power ขวา, volume ซ้าย, แจ็คเสียบหูฟังด้านบน, Micro USB ด้านล่าง)จุดที่ S5 ต่างไปจากมือถือซัมซุงทั่วไปคือมันกันน้ำครับ ดังนั้นพอร์ตเสียบ Micro USB จะมีฝายางปิดมาให้ด้วยเปิดออกมาแล้วเป็นพอร์ต Micro USB 3.0 แบบเดียวกับ Note 3 แต่ก็เอา Micro USB 2.0 มาเสียบได้ตามปกตินะ (เวลาเราแกะฝาออกมา จะมีข้อความเตือนบนหน้าจอด้วยว่าให้ปิดฝาคืนให้สนิท)ด้านหลังเป็นกล้องพร้อมไฟแฟลช+ตัววัดอัตราการเต้นของหัวใจ แยกส่วนกันชัดเจนฝาหลังแกะได้ตามมาตรฐานซัมซุงครับ ตำแหน่งการวางแบตเตอรี่และช่องเสียบซิมการ์ด เหมือน Note 3 แบบทุกประการ (จุดที่ต่างไปบ้างคือลำโพงเปลี่ยนมาอยู่ด้านหลังแทน ของเดิมอยู่ขอบล่าง)ถ้าสังเกตฝาหลังดีๆ จะเห็นขอบยางสีขาวๆ เอาไว้กันน้ำด้วย อันนี้เดี๋ยวจะทดสอบต่อไปในส่วนของการกันน้ำโดยรวมแล้วผมให้คะแนนด้านดีไซน์ของ S5 ในระดับเดียวกับ Note 3 นั่นคือดีกว่า S4 แต่ยังไม่ให้ความรู้สึกหรูหราเต็มขั้นแบบ iPhone 5/5s หรือ HTC Oneเทียบขนาดเผอิญว่าตอนนี้ผมใช้ Note 3 เป็นมือถือหลักอยู่แล้ว และสามารถยืม iPhone 5 (ไม่ใช่ 5s) ของคนอื่นมาถ่ายรูปเปรียบเทียบได้ ก็เลยมีภาพเปรียบเทียบขนาดให้เห็นครับGalaxy S5 vs Note 3Galaxy S5 vs iPhone 5ใหญ่กว่ากันเยอะอยู่นะจอภาพจุดเด่นของ S5 อีกอย่างหนึ่งคือจอภาพที่ใครเห็นใครก็ชมว่า "สวยมาก" ลองเปิดรูปเดียวกันเทียบกับ Note 3 (ด้านซ้าย) แบบตั้งความสว่างสูงสุดทั้งคู่ พบว่าจอของ S5 (ด้านขวา) สว่างกว่า 1 ขั้นแถมสีสันดูสดใสกว่าอีกฟีเจอร์หนึ่งของ S5 คือ Super Dimming หรือความสามารถในการปรับความสว่างของจอภาพให้น้อยลงสุดๆ เหมาะกับการอ่านข้อความในยามค่ำคืน ลองเทียบกับ Note 3 (ด้านซ้าย) ก็พบว่า S5 (ด้านขวา) ทำได้จริงสมราคาคุยรีวิว Olympus OM-D EM-10 รีวิว Olympus OM-D EM-10 สุดยอดประสิทธิภาพ ผสานความคลาสสิคที่ลงตัว ถือเป็นโอกาสอันดีอีกครั้งที่ได้สัมผัสกับนวัตกรรมกล้อง Mirrorless เปลี่ยนเลนส์ได้ในตระกูล OM-D รุ่นล่าสุดที่ใช้ชื่อว่า Olympus OM-D EM-10 นับเป็นรุ่นที่ผสมผสานเทคโนโลยีจาก EM-5 และ EM-1 จนเรียกได้ว่าเป็นทายาทลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ![]() หากพูดถึงจุดเด่นของกล้อง Olympus OM-D EM-10 จากครั้งแรกที่ได้สัมผัสพบว่าอยู่ที่ความเล็กกะทัดรัด และเหมาะกับตากล้องที่ชอบความ Classic สามารถสร้างความพึงพอใจและความคล่องแคล่วได้เป็นอย่างดีในยามพกพาไปถ่ายรูป ตามสถานที่ต่างๆ มีจอภาพ LCD ขนาด 3.0 นิ้ว แบบทัชสกรีนที่ให้ความสว่างและชัดเจนความละเอียด 1.44 ล้านพิกเซล สามารถกางออกได้สำหรับถ่ายภาพมุมต่ำหรือมุมสูง ให้ความรู้สึกถึงความแข็งแรงในการปรับองศาของหน้าจอ ขณะเดียวกันช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์ (EVF) ขนาดใหญ่ยังอยู่ในตำแหน่งสายตา มีเซนเซอร์ตรวจจับทำให้สามารถถือและมองเข้าไปได้ง่ายๆสำหรับถ่ายภาพได้ใน ทันที ![]() วัสดุของกล้อง Olympus OM-D EM-10 ทำจากโลหะ มีปุ่มปรับรูรับแสงและความเร็วชัตเตอร์ขนาดใหญ่ด้านบน สามารถปรับแต่งค่าได้ง่ายๆและสะดวกยิ่งขึ้น สามารถปรับจูนแสงและเงาก่อนถ่ายภาพจริงได้จากปุ่ม Fn2 ![]() Olympus OM-D EM-10 มาพร้อมกับระบบป้องกันภาพสั่นไหวขณะถ่ายภาพด้วยเทคโนโลยี VCM แบบ 3 แกนในตัวกล้อง ได้แก่ การเคลื่อนไหวแนวนอน การเคลื่อนไหวแนวตั้ง และการหมุนรอบแกนเลนส์ สนับสนุนประสบการณ์การใช้ Live View ที่มีค่า display refresh อยู่ที่ 120fps เรียกได้ว่าช่วยให้การแพลนภาพเร็วๆ ไม่มีอาการสะดุดให้เห็น ใช้ระบบเซนเซอร์ Live MOS ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล สามารถปรับค่า ISO ได้สุงสุดที่ 25600 รองรับการถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้อย่างไร้กังวล ความเร็วชัตเตอร์ 60 – 1/4000 วินาที ใช้หน่วยประมวลผลภาพ TruePic VII อีกหนึ่งจุดเด่นที่ดึงมาจาก FlagshipModel รุ่น OM-D E-M10 ![]() เมื่อลองถ่ายภาพจริงจะพบว่ากล้อง Olympus OM-D EM-10 มีความเร็วในการจับโฟกัสอยู่ที่ 0.13 วินาที มีจุดโฟกัสให้เลือกถึง 81 จุด สามารถถ่ายภาพต่อเนื่องที่ความเร็วสูงสุด 8fps คุณสมบัติอื่นๆ - Built-in Wi-Fi เชื่อมการทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตผ่านแอพพลิเคชั่น Olympus Image Share คอยควบคุมกล้อง Olympus OM-D EM-10 ได้จากระยะไกล ทั้งการปรับโหมด, ตั้งค่า ISO ก่อนถ่ายภาพและเป็นปุ่มชัตเตอร์ให้ในตัว ซึ่งในส่วนนี้สร้างประโยชน์ได้เป็นอย่างดีหากสถานที่ที่ต้องการถ่ายภาพเป็น ที่มืด แม้การใช้แฟลชและปรับ ISO สูงสุดก็ไม่สามารถทำให้ภาพออกมาชัดเจนได้ การตั้งกล้องและควบคุมผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตจากระยะไกลจึงเข้ามาเติม เต็มการถ่ายภาพในสถานการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้แล้วความสามารถของ Olympus Image Share ยังรองรับการแก้ไขและแชร์ภาพได้อย่างง่ายดาย - มีโหมด ART Filter คอยจัดการภาพถ่ายให้แสดงเฉดสีในรูปแบบที่แตกต่างกันโดยอัตโนมัติ ซึ่งมีให้เลือกถึง 13 เฉดสี - มีโหมด TemPlate ที่คอยสนับสนุนการถ่ายภาพและจัดเรียงภาพเหล่านั้นให้กลายเป็นเรื่องราว ด้วย TemPlate ที่มีให้เลือกถึง 4 แบบ - มาพร้อมโหมด Photo & Movie Capture รองรับการถ่ายภาพนิ่งในขณะบันทึกวีดีโอได้โดยไม่ต้องหยุดบันทึกภาพเคลื่อนไหว - สำหรับตากล้องที่ชอบเล่นโหมด M สามารถรับทราบถึงลักษณะแสงก่อนถ่ายภาพได้ในแบบ Live View ในระหว่างที่ปรับค่า ISO ตัวเลขของรูรับแสงก็จะปรับเปลี่ยนไปตามตัวเลขของ ISO ที่เลือกด้วยเช่นกัน - เลนส์ที่มากับ Olympus OM-D EM-10 จะเป็น 14-42 mm f3.5-5.6 EZ เป็นเลนส์ประเภทซูมไฟฟ้า มีน้ำหนักเล็กน้อย มี Lens Cap แถมมาให้สำหรับการใช้ร่วมกับเลนส์ ช่วยในการเปิด-ปิดหน้าเลนส์อัตโนมัติ โดยไม่ต้องใช้ฝาปิดเองให้ยุ่งยาก สำหรับความน่าใช้ของกล้อง Olympus OM-D EM-10 โดยภาพรวมแล้วแม้จะมีน้ำหนักเล็กน้อย แต่ความกะทัดรัดช่วยให้การพกพาไปนอกสถานที่สามารถทำได้ง่ายกว่ากล้อง DSLR มาก ขณะเดียวกันกล้องประเภท Mirrorless เปลี่ยนเลนส์ได้รุ่นนี้ ยังเหมาะสำหรับตากล้องที่ต้องการข้ามจากการใช้กล้อง Compact มาใช้กล้องที่มีประสิทธิภาพและมีคล่องแคล่วในการใช้งานในหลายๆสถานการณ์ ประกอบกับคุณสมบัติที่มี Built-in Wi-Fi เชื่อมการทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตผ่านแอพพลิเคชั่น Olympus Image Share ยังสามารถทำได้ในระดับเกือบจะ Full Option เลยก็ว่าได้ นอกจากนี้ภาพถ่ายที่ออกมาแม้จะใช้โหมด iAuto ยังช่วยให้ภาพมีความคมชัด สดใส ซึ่งหากใครก็ตามเป็นผู้ที่ชอบถ่ายรูปแต่ไม่อยากนำภาพมาปรับแสง แต่งสีเพิ่มเติมถือได้ว่ากล้อง Olympus OM-D EM-10 ตอบสนองความต้องการด้านการถ่ายภาพได้อย่างครบครัน |